เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)


เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)

     "ฮิวโก้หายไปไหน" เป็นคำถามที่เขาพบเจออยู่บ่อยๆ ทั้งที่จริงเขาก็ยังคงทำเพลงหรือไม่ก็ทัวร์คอนเสิร์ต และช่องว่างที่คนคิดว่าเขาหายไปนี่เอง ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธีมในอัลบั้มล่าสุดอย่าง Lacuna คำภาษาโบราณที่เขาเจอจากหนังสือพิมพ์ หมายถึงช่องว่างที่ไม่ควรมีอยู่แต่กลับมี พร้อมกลับปล่อยซิงเกิลแรกของอัลบั้มอย่าง Call of The Void เมื่อวันที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมา

คุยเรื่องอัลบั้มใหม่กันไปได้สักหน่อย เมื่อถามถึงฟีดแบ็กหลังจากปล่อยซิงเกิลในช่วงการเมืองวุ่นวาย หลายสิ่งก็พรั่งพรู และสำหรับ ฮิวโก้-จุลจักร จักรพงษ์ ในฐานะคนที่เคยอินการเมืองมากๆ และเคยออกไปประท้วงบนท้องถนน เมื่อพบการเปลี่ยนฝ่ายย้ายข้างในเกมการเมือง รวมถึงมีครอบครัวที่ต้องดูแล เขากลับพบว่าความเย็นชาทางการเมืองกลายเป็นสิ่งที่พึงจะมี เพราะในเกมนี้การเสี่ยงอันตรายของประชาชนไม่ใช่เรื่องที่คุ้มเลย

สำหรับซิงเกิลที่เพิ่งปล่อยไป Call of the Void เสียงที่ดึงคุณไปสู่อันตรายหมายถึงอะไร

คล้ายกับที่มาของชื่อ Lacuna ผมไปเจอประโยคนี้ในภาษาฝรั่งเศสว่า l'appel du vide ผมรู้สึกว่าคงมีแต่ภาษาฝรั่งเศสที่สามารถมีศัพท์เฉพาะสำหรับความรู้สึกนี้ มันเป็นความรู้สึกหวิวหวิวตอนเราอยู่ในที่สูงหรือในที่อันตรายแล้วเราแอบคิดว่าหรือโดดไปเลยดีวะ มันเหมือนเป็นเสียงที่มาจากที่ที่มืดที่สุด ที่ชักชวนให้เราทำอะไรที่ไม่ดี หรือทำโดยไม่คิดถึงผลกระทบ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมีประสบการณ์แบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นการติดยา หรือพฤติกรรมสักอย่างที่ไม่ควรทำ มันเหมือนเราไม่ได้เลือกที่จะทำมัน มันเหมือนมีเสียงจากลึกๆ เรียกให้เราไปทำ

ในเวลาเดียวกันผมก็ไม่อยากเขียนเพลงที่มืดที่น่ากลัวที่หดหู่ ก็เลยพูดถึงสิ่งที่สามารถทำลายเสียงนั้นได้ อย่างเช่นความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ในประสบการณ์ของผมเป็นสิ่งที่น่าจะช่วยดึงเราออกมาจากสถานการณ์แบบนั้นได้ เราเลยใช้ชื่ออะไรที่ฟังดูน่ากลัว แต่เรื่องราวโดยรวมแล้วเป็นเรื่องบวก



คุณเองมีประสบการณ์ทำนองนั้นอย่างไรบ้าง การมีเสียงบางอย่างดึงดูดให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ

วงการบันเทิงหรือวงการดนตรี มันเป็นวิถีชีวิตที่มีขึ้นมีลงค่อนข้างโหด มันแยกแยะตัวเองออกจากงานไม่ค่อยได้ อารมณ์จะเกี่ยวข้องกับงานโดยตรง มันไม่มีใครให้โทษถ้าสมมติงานมันไปได้ไม่ดี แล้วอีโก้กับอะไรต่างๆ ก็ไปพัวพันอยู่ตรงนั้น ผมเคยมีสัญญาแล้วก็โดนดรอป ผมเคยทำเพลงที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จ ผมก็เคยมีเพื่อนที่ชวนไปในทางที่ไม่ดี แล้วในเวลาเดียวกันก็มีเพื่อนที่ชวนกลับมาในทางที่ดีกว่า มันเป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบเดียวเองครับ ผมก็เลยพูดถึงว่าความสัมพันธ์มันสามารถทำลายเรื่องพวกนั้น มันเป็นเหตุผลที่จะไม่ฟังเสียงเหล่านั้น ต่อสู้ได้ง่ายกว่า

สำหรับคนที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่แข็งแรงพอ มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ไม่ฟังเสียงเหล่านั้นบ้าง

ก็ต้องลองไปค้นดูในชีวิต มันก็น้อยคนนะที่ไม่มีความสัมพันธ์อะไรเลย ไม่มีแม่ไม่มีพ่อไม่มีคนข้างบ้านไม่มีเพื่อนเรียน ถ้าไม่มีความสัมพันธ์จริงๆ นี่ก็ถือว่าเป็นอะไรที่น่าเห็นใจแล้วก็คงต้องพึ่งดวงหรือใครสักคนนึงที่จะโผล่เข้ามาในชีวิต

อย่างเรื่องของการติดยา มันไม่ได้เป็นเรื่องของร่างกาย แต่เป็นเรื่องของสภาพแวดล้อมด้วย ดังนั้นความสัมพันธ์ที่ดีมันมีส่วนช่วยได้ แล้วถ้าเราไม่ได้รักษามันเอาไว้ เราจะตกอยู่ในอันตราย ทั้งในทางจิตวิทยาและในเรื่องอื่นๆ

ยิ่งสำหรับผู้ชายแล้ว มาตรฐานของตัวเราเองมันไม่ได้สูงนักถ้ามีเราอยู่แค่คนเดียว แต่ถ้าเรามีคนที่อย่างน้อยเราแคร์ความรู้สึกของเขา เรามีความอับอาย ที่มันไม่ได้เกี่ยวกับแค่ตัวเรา มันก็ง่ายขึ้นที่จะพยายามทำตัวไปทางที่เหมาะสม ถ้าเป็นตัวเราเองเราไม่ได้สนหรอกว่าที่เราทำมันเหมาะสมไหม ดังนั้นบางทีมันก็ดีสำหรับคนที่มาตรฐานตัวเองอาจจะไม่ได้สูงเท่าไร ซึ่งผู้ชายบางคนก็จะเป็นแบบนั้นแหละ คงแอบเกลียดตัวเองนิดๆ หมั่นไส้ตัวเอง เมื่อมีคนอื่นมันก็จะดีกว่า

เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)

อยากให้ขยายความ ทำไมถึงบอกว่า ‘ผู้ชาย' มีมาตรฐานในตัวเองที่ไม่สูงนัก
เราก็จะมีสัญชาตญาณ สัญชาตญาณซึ่งจะไม่ได้มีที่ปลดปล่อยหรือที่ระบายในสังคมทุกวันนี้ มันเป็นสิ่งที่กาลครั้งหนึ่งในป่าอาจจะมีประโยชน์ แต่ในเมืองเนี่ยมันเป็นอะไรที่ป่าเถื่อนและอันตราย เราก็เลยต้องหาวิธีนำพลังงานเหล่านั้นไปในทางที่ดี แล้วสำหรับผมมันขึ้นอยู่กับมาตรฐานคนอื่นๆ ในชีวิตที่เราเคารพ ที่ช่วยให้เรามองเห็นว่าเราควรจะทำอะไรบ้าง เพราะถ้าเราอยู่คนเดียวปล่อยให้อยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีภาระอะไร คาดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งมันก็คงมีสัญชาตญาณแบบนี้ในเพศอื่นๆ แต่ผมพูดในฐานะที่ผมเป็นผู้ชายน่ะนะ

พอปล่อยซิงเกิลนี้ในช่วงที่การเมืองวุ่นวายมากๆ มันส่งผลกับฟีดแบ็กไหม

การเมืองมันวุ่นวายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกว่าตอนนี้มันวุ่นวายไปกว่า 10 ปีที่แล้วหรือ 5 ปีที่แล้ว ถ้าไม่เมืองไทยก็เป็นที่อื่น ผมเคยทำเพลงที่เกี่ยวกับการเมือง แล้วก็พูดไปหมดแล้ว ผมคิดว่ามันน่าจะเป็นทางตันพอสมควรในยุคนี้ คนเราเริ่มเอาจุดยืนทางการเมืองมาแทนศาสนา แล้วผมว่ามันเป็นศาสนาที่ไม่มีคำตอบ มีคนที่เข้ามาจากการคิดว่าจะทำให้มันจบแต่มันจะไม่จบ มันจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ และมันไม่ได้เป็นแค่เมืองไทย มันเป็นไปทั่วโลก

มันกำลังมีความขัดแย้งระหว่างคนสองกลุ่ม ถ้าเสียงส่วนมากมันคือ 51 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงยังมี 48-49 เปอร์เซ็นต์ อยู่อีกฝั่ง ไม่ได้ถึงขั้นส่วนน้อยนะ เพราะมันเกือบจะครึ่งหนึ่งแล้ว แล้วยิ่งพอมีโซเชียลมีเดียเข้ามา ผมรู้สึกว่าเป็นเครื่องปรุงที่เติมแล้วไม่อร่อยเลย มันทำให้คนมาแบ่งฝั่งกัน โดยบางทีเราอาจจะไม่ต้องแบ่งฝั่งก็ได้ โลกมันไม่ได้แบ่งเป็นซ้ายขวาเหมือนสมัยก่อนแล้ว ทุกเรื่องมันคงมีประมาณ 3-4 คำตอบให้เลือกมันไม่ใช่แค่ 2 

สมมติว่าในประเด็นหนึ่งคนคนนั้นเอียงไปทางซ้าย ก็ไม่ได้หมายความว่าในประเด็นอื่นๆ เขาต้องเอียงซ้ายทั้งหมด ผมเคยไปประท้วง ไปเรียกร้องในเรื่องหนึ่งที่มันแคบๆ แล้วก็กลายเป็นว่าผมอยู่ในพันธมิตรกับคนที่ไม่ได้เห็นด้วยเลย

ทุกวันนี้ผมเลยคิดว่าการเมืองควรจะย่อให้เป็นประเด็นเล็กๆ อย่างเช่นเรื่องทางเดินริมแม่น้ำ ผมไม่เห็นด้วย แล้วมันเป็นอะไรที่ง่ายมาก ผมไม่อยากให้สร้าง ถ้าไม่สร้างมันก็จบ ไม่ได้ต้องมาปิดสนามบินหรือทำอะไร ผมว่าการเมืองควรจะลดลงมาเป็นเรื่องแคบๆ ยิ่งแคบเรายิ่งมีโอกาสชนะและน่าสนใจ ถ้าจะถอดระบบหรือเปลี่ยนระบบ หรือเปลี่ยนอันนั้นอันนี้แบบกว้างๆ ผมไม่กล้า เพราะไม่รู้ว่าเราต้องลงไปอยู่กับใครบ้างที่อาจจะมีความคิดเห็นที่รุนแรงจนเรารับไม่ได้

พอเห็นการเมืองมันแย่ โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง คนเราควร react กับมันอย่างไรดี

มีข้อมูลบางชุดออกมาใช่ไหม ในการโกงใดๆ ที่เขาว่ามันมี ผมว่ามันก็มีเสียงจริงอยู่ในนั้นนะ ถ้ามีอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ มันก็เป็นหลัก 1-2-3 เปอร์เซ็นต์ แต่ความต่างระดับนี้ดันมีความหมาย แต่จริงๆ แล้วที่ดูจากตัวเลขที่ออกมา มันก็ประมาณนั้นแหละ ก็คงมีคนชอบฝั่งนี้ประมาณนี้ มีคนชอบฝั่งนี้ประมาณนี้ ฝั่งรัฐบาลที่ยังเป็นรัฐบาลอยู่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีคนชอบ -ซึ่งผมไม่ใช่หนึ่งในนั้นนะ แต่ผมยินดีที่จะดำเนินตามขั้นตอน ผมก็ไปเลือกตั้ง ผมก็เชื่อว่าเสียงผมจะถูกนับอยู่ในนั้น

แล้วควรจะทำตัวยังไงเหรอ ผมก็ไม่ได้มีคำตอบหรอก เพราะว่าตอนนี้ประเทศไทยก็ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายๆ ประเทศอื่นๆ เราต้องเลิกแยกตัวเองออกจากประเทศอื่นๆ เราเจอแรงกดดันคล้ายกับทุกที่ในโลก บางเรื่องก็เป็นเรื่องใหม่ บางเรื่องก็เป็นเรื่องเก่า ผมหวังว่าจะมีปริมาณพรรคที่สามารถตั้งรัฐบาลพันธมิตรไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็ตามและก็ปฏิบัติหน้าที่กันไป มันก็คงไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ ไม่ลงตัว แต่มันก็น่าจะดีกว่าสถานการณ์ปีที่แล้วหรือปีก่อนหน้านั้น แล้วถ้าเราสามารถค่อยๆ เพิ่มประชาธิปไตยวันหนึ่งมันก็คงเกิดขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่แค่การเลือกตั้ง แต่เป็นหลายๆ อย่างรวมกัน จริงๆ การเลือกตั้งมันอาจจะเป็นเรื่องที่สำคัญน้อยที่สุดก็ได้ในประชาธิปไตย สิ่งที่สำคัญคือกฎหมายกับข้อมูลที่อิสระ ทุกคนสามารถใช้เสียงด้วยปัญญาและการศึกษาในระดับที่เท่าเทียมกัน และอยู่กันภายใต้กฎหมายที่มีผลบังคับใช้เท่าเทียมกัน

เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)

ถ้ามองเทียบกับการเมืองโลก ที่ฝ่ายขวากำลังมาแรงในหลายๆ ประเทศ คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร
มันก็เหวี่ยงไปมา ผมว่าโซเชียลมีเดียมันทำให้คนที่มีจุดยืนที่อาจจะไม่ได้เป็นเสียงส่วนมาก สามารถมาเกาะกลุ่มอยู่ด้วยกัน พอคุณเจอเรื่องที่สำคัญกับตัวเอง สมมติว่าเป็นเรื่องแรงงานต่างด้าว คุณไม่เอาแรงงานต่างด้าวคุณก็จะเข้าไปในเน็ต แล้วคนที่คิดตรงกับคุณเรื่องนี้ก็จะพาคุณไปถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลายเป็นว่าคุณมองว่าผู้หญิงไม่ควรทำแท้งและผู้ชายควรมีปืน มันพาคุณไปสู่ประเด็นอื่นอีกเต็มไปหมด

ผมรู้สึกว่าทุกคนควรจะถอยออกจากการเมืองมากกว่า บางอย่างที่เราไม่มีความรู้เกี่ยวกับมัน เราก็ไม่ต้องมีความคิดเห็นที่รุนแรงกับมันก็ได้ จริงๆ คำว่าความคิดเห็นมันก็ไม่ควรรุนแรงหรือชี้เป็นชี้ตายขนาดนั้น นอกจากเป็นเรื่องจะเป็นจะตาย

ทำไมขวาถึงมา ผมว่าขวาก็ไม่ได้แรงกว่าเท่าไรหรอกเพราะว่าประเทศซ้ายก็เยอะแยะ แต่มันคงเป็นการต่อต้านความคิดที่คิดว่า "โลกทั้งหมดเป็นเพียงหนึ่งใบ และทุกคนก็เหมือนกัน และวัฒนธรรมประเพณีอะไรทุกอย่างก็ล้าหลัง" มันคงเป็นความที่คนอยากจะยึดเหนี่ยวกับคำว่า ‘ประเทศ เชื้อชาติ ชาตินิยม' ซึ่งผมไม่เคยนิยมเลย ผมรู้สึกว่าชาตินิยมเป็นวิธีการที่ทำให้คนภูมิใจในสิ่งที่ตนไม่เคยทำ และเกลียดคนที่ไม่เคยพบ คุณเกิดที่ไหนมันเป็นเรื่องของดวงต่างหาก

คุณเองถือว่าอยู่ในระดับชนชั้นนำ พูดได้ไหมว่าหากเกิดอะไรขึ้น อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่าคนอื่นๆ
จริง แน่นอน โดยเฉพาะเรื่องกฎหมาย กฎหมายมันแทบจะเป็นกฎหมายที่ไว้บังคับพฤติกรรมคนจน นั่นมันเป็นเรื่องของอำนาจ เรื่องของอิทธิพล ...ใช่ ก็จริง อยู่ในเมืองไทยถ้าสมมติว่ามีเงินทอง มีฐานะประมาณหนึ่งก็ปลอดภัยจากหลายๆ อย่างเลย

คิดว่าปลอดภัยไหมที่จะแสดงความคิดเห็นหมดเปลือก ภายใต้ชื่อเสียงหรือนามสกุลของตนเอง

ผมก็ไม่ได้พูดอะไร ผมไม่ได้สนับสนุนอะไรเลย ผมต่อต้านบางโครงการที่เป็นในเชิงสิ่งแวดล้อมมากกว่าในการเมือง ผมแทบไม่เหลือปรัชญาของการเมืองแล้ว เพราะว่าประสบการณ์ของผมเกี่ยวกับการประท้วง การรวมกลุ่ม มันกลับกลายเป็นว่าเพื่อต่อต้านบางอย่าง เราต้องสนับสนุนเรื่องอื่นที่เราไม่ได้สนับสนุน ผมเลยไม่ได้ออกตัวแบบนั้น

และผมก็ไม่ได้ต้องการบิดเบือนความคิดเห็นของใคร และผมไม่ได้ต้องการถอนใครจากตำแหน่ง หรือล้มรัฐบาลอะไรแบบนั้น ผมเคยเดินเส้นนั้นแล้ว และไม่รู้ว่าสถานการณ์มันแย่ขึ้นหลังจากนั้นไหม แต่มันไม่ได้ดีขึ้นแน่ๆ ผมเลยอยู่ในจุดที่ค่อนข้างจืดเรื่องการเมือง ค่อนข้างเย็นชากับมัน ยิ่งพอมีครอบครัว ผมยิ่งรู้สึกว่าคุณธรรมของการเป็นพ่อทำให้ผมควรจะอยู่ดูแลลูก ผมไม่รู้สึกว่ามีฝั่งไหนที่น่าเอาชีวิตไปเสี่ยงกับมันเท่าไรเลยและไม่! ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันปลอดภัยเท่าไร การพูดเรื่องการเมืองในประเทศไทย ใครๆ ก็รู้

นั่นหมายถึงว่า ทุกคนควรเย็นชากับการเมืองมากขึ้น?

ใช่ เพราะว่าเอาตามจริง ทุกคนมีแรงกดดันในชีวิตตัวเองที่ต้องจัดการ ทุกคนมีครอบครัวที่ต้องดูแล ทุกคนมีงานที่ต้องทำ ขณะที่บางคนโดยเฉพาะนักศึกษาที่กำลังศึกษาและคิดเรื่องพวกนี้ ก็เป็นกลุ่มคนที่น่าเป็นผู้นำของเยาวชนในเรื่องของความคิดและในเรื่องอุดมการณ์ และมีความน่านับถือมาก มันไม่ถึงกับหน้าที่ แต่มันเป็นบริเวณที่พวกเขาน่าจะถนัดที่สุด

ถ้าเรามีอะไรในชีวิตที่ไม่พอใจกับภาครัฐ ต้องเอาให้มันแคบที่สุด เอาให้มันเกี่ยวจริงๆ ไม่ต้องไปพาดพิงถึงเรื่องที่กว้าง หรือเรื่องที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ บางเรื่องมันเป็นก้อนหินของประวัติศาสตร์ที่กำลังกลิ้งของมันอยู่ และเราจะไปยืนให้มันทับ จะเดินหนี หรือจะขึ้นไปนั่งบนมันก็แล้วแต่ แต่มันก็จะกลิ้งต่อไป

เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)


คิดเห็นอย่างไรกับการเป็น Ignorant
ฉลาด ฉลาดในการใช้ชีวิต คนที่ไปเกี่ยวมากเกินไปเนี่ยแหละ โง่

คุณลองดูการเปลี่ยนของคนที่เคยอยู่ฝั่งหนึ่ง แล้ววันหนึ่งเขาไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พวกผู้นำต่างๆ ผู้ใหญ่ต่างๆ ที่เปลี่ยนข้างกันง่ายๆ และคุณจะไปยืนรับลูกกระสุน หรือรับอะไรก็ตามบนท้องถนนเพื่อคนพวกนี้เหรอ? ไม่ว่าจะเป็นฝั่งไหนก็ตาม ผมอยู่ในจุดที่อยากจะอิกนอร์ อยากจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนเหล่านี้ทำอะไรมาบ้าง คิดอะไรกันบ้าง สิบปีที่แล้วเคยยืนอยู่ตรงจุดไหน สิบห้าปีที่แล้วเคยยืนอยู่ตรงไหน ผมดูมาตลอด เพราะผมอินกับเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2003-2004 ตั้งแต่สงครามยาเสพติดจนมาถึงจุดนี้

ลองดูในขั้วอำนาจต่างๆ มีคนโยกย้ายไปมายังไงบ้าง และทำไมพวกเราประชาชนถึงเปลี่ยนใจกันบ้างไม่ได้ เราก็แค่เปลี่ยนใจที่จะไม่อิน กฎหมายให้เราทำอะไร เราทำ เราไปเลือกตั้ง เราก็ไป และเราก็จะไม่ไปรบกวนความสงบอะไรของใคร แต่เราจะไม่ไปร่วมเปลี่ยนระบบ หรือล้มอะไรทั้งสิ้น เราจะโฟกัสอะไรแคบๆ ที่เราทำได้ เราจะโฟกัสแต่สิ่งที่เราชนะได้ เราจะไม่แสดงอุดมการณ์เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ หรือแสดงความฉลาด หรือความถูกต้องของเรา มันไม่สำคัญ ที่สำคัญคือผลกระทบต่างหาก เราออกไปแล้วผลกระทบคืออะไร เราเคยเห็นกันไปแล้ว

น่าเสียดายไหม สำหรับคนที่สูญเสียบางความสัมพันธ์ไปด้วยเรื่องการเมือง

ไม่ แสดงว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่อ่อนแอ อย่าไปเสียดายเลย ดีด้วยไม่ต้องรับผิดชอบไปอีกหนึ่งคน เลิกคบก็ดี ไปไกลๆ ถ้าคุยกันแค่นี้คุยกันไม่รู้เรื่องก็อย่าคุยกันเลย

เห็นด้วยไหมว่าพออายุมากขึ้น คนเราจะอนุรักษนิยมมากขึ้น

แน่นอน อันนี้ถ้าไม่เกิดขึ้นนับว่าน่าแปลกใจ น่าพิจารณาตัวเองว่าทำไม เพราะว่าเรามีบางอย่างที่เราต้องรักษา ไม่อยากให้มันหายไป ผมไม่อยากให้ตึกเก่าที่สวยงามโดนทุบทิ้งไปทำห้าง จริงๆ ผมคอนเซอร์เวทีฟมานานแล้ว หลายคนคิดว่าผมมีความคิดแบบขบถ ไม่ ผมแค่อนุรักษนิยมจัด จัดกว่าคนอื่นด้วย มันเลยขวาไปแล้ว ผมอยากจะรักษาสิ่งแวดล้อม นั่นคือคอนเซอร์เวทีฟในความหมายของผม

บางคนคิดว่าการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ซ้าย แต่สำหรับผมมันเป็นสิ่งที่ขวา เพราะว่ามันอยู่มาก่อนเรา มันศักดิ์สิทธิ์ และมันก็มีบางอย่างในสังคมที่ศักดิ์สิทธิ์และควรรักษามันไว้ อย่างสถาบันครอบครัว เราควรรักษามันไว้ ขณะที่บางอย่างต้องเปลี่ยนแปลง

ผมรู้สึกว่าในประสบการณ์ของผม ในครั้งหนึ่งที่เคยทำตัวเป็นขบถ การล้มกระดานอะไรสักอย่างหนึ่งใช้เวลานานมากกว่าจะเอาขึ้นมาใหม่ และเราไม่รู้ด้วยว่าเราจะได้อะไรมาแทน พอปฏิวัติแต่ละครั้งมันก็คือเข้าอุโมงค์ดำ มันไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจะเจออะไรบ้าง ยิ่งพอมีลูก ความกล้าหาญที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยงตายมันน้อยลง เรื่องนี้ผมก็เขียนหมดในอัลบั้มก่อนหน้านี้ที่ชื่อ ‘ดำสนิท' เพลง ระวัง เกี่ยวกับเรื่องนี้โดยตรงเลย

ในชีวิตช่วงนี้ มีอะไรที่ทำให้คุณโกรธหรือกลัวได้บ้าง

เยอะแยะเลย ถ้าใครมองออกไปข้างนอกและคิดว่ามันสมบูรณ์แล้วก็ควรจะไปรักษาตัว ควรจะไปตรวจสายตา แต่ที่ที่แย่กว่านี้ก็มี ประเทศเจริญๆ ก็ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าเราเท่าไรหรอก ประเทศที่เราเคยเอาเยี่ยงอย่างอย่าง ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา เขาก็ไม่ได้น่าอิจฉาเลย เขาอาจเจออะไรที่น่ากลัวกว่าบ้านเราก็ได้ เพราะเขาเป็นประเทศขาลง ถึงเราจะดูเหมือนไม่มีอนาคต หรือไม่มีความหวัง แต่เราก็ยังเป็นประเทศขาขึ้น เพราะแต่ก่อนแย่กว่านี้อีก อย่าไปท้อกับมันมากเกินไป เรายังเดินไปข้างหน้าอยู่ถึงมันจะช้ามาก แม้สถานการณ์ในวันนี้อาจจะดูวุ่นวายก็ตาม

เราไม่ได้ออกตัวทำอะไร แต่เราคงต้องรับฟัง ต้องฟังข้อมูลจากคนที่ไม่เห็นด้วยกับเราให้มากที่สุด เพราะอะไรที่ถ้าทั้งเราและคนที่เราไม่เห็นด้วยมองเห็นสิ่งเดียวกัน อันนั้นคงจริงแน่ๆ และถ้าคนไหนที่มีศัตรูทั้งสองฝ่าย คนนั้นก็น่าไว้ใจ ถ้าไปดูพวกนักการเมือง นักการเมืองคนไหนศัตรูเยอะที่สุดคนนั้นน่าไว้ใจ

เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)

รับชมคลิป
VVVVVVV
VV
VV
VV
VVVVV

เปิดสัมภาษณ์ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ผู้ชายเย็นชา ที่ปฏิเสธการเมือง(คลิป)

เครดิตแหล่งข้อมูล : themomentum.co


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
รวมข่าวในกระแส คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์