กระชากหน้ากาก มหาเศรษฐีหนุ่ม เอี่ยวคดีบั­งคับลดหนี้กว่า 100 ล้านบาท



ถอดรหัสข้อมูล ‘นพพร ศุภพิพัฒน์’มหาเศรษฐีหนุ่ม อันดับ 31 เมืองไทย

จากเรื่องราวของ เดอะกิ๊ก-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก. ที่ชีวิตพลิกผันแบบช็อกวงการสีกากี จากคนในเครื่องแบบปัจจุบันต้องถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพ พร้อมบรรดาคนสนิท ไม่ว่าจะเป็น พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ อดีตรอง ผบช.ก. และพล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน อดีต ผบก.ตำรวจน้ำ

ก่อนหน้านี้ สกู๊ปหน้า 2 ได้เกาะติดตีแผ่ตามเจาะลึกเรื่องราวของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ตั้งแต่ถูกย้ายฟ้าผ่ากลางเดือน พ.ย. 57 จากบิ๊กสีกากีที่เคยได้รับฉายา ปรมาจารย์นักสืบ ตอนนี้เริ่มมีการเรียกขานใหม่ว่า เจ้าพ่อสอบสวนกลาง เพราะทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถึงขั้นทำแผนผังระบุ เป็นเครือข่ายการกระทำความผิดพล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ แถมแสดงความเชื่อมโยงของผู้เกี่ยวข้องอย่างชัดเจน โดยระบุที่มาของทรัพย์สินที่มีมูลค่ามหาศาลนั้น ได้มาโดยมิชอบ หรือพูดง่าย ๆ ว่า ส่วย ได้มาจากการแอบอ้างชื่อเปิดบ่อนกาสิโนหรูใจกลางเมืองกรุง, ส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน และจากโยกย้ายวิ่งเต้นข้าราชการตำรวจ ฯลฯ

การแถลงข้อมูล เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 57 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. (นรต.31) ถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่น นรต.31 ของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ได้เปิดฉากทลายเครือข่ายเจ้าพ่อสอบสวนกลาง อย่างต่อเนื่องพร้อมกับน่าจะเป็นวลีเด็ดแห่งปี “...ใหญ่แค่ไหนผมก็จับ!”

ปฏิบัติการขุดรากถอนโคนครั้งนี้ นอกจากจะมีการไล่แกะรอยหาขุมทรัพย์มหาศาลที่ซุกซ่อนอยู่ในบ้านของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ และบรรดาเครือข่ายหลายสิบจุดแล้ว ตามอายัดทรัพย์สินเงินทองวัตถุมีค่ามาได้จำนวนมากมายก่ายกอง สร้างความตกตะลึงให้แก่สังคม นอกจากจะเห็นทรัพย์สินแล้วยังเห็นตู้เซฟ และช่องลับนิรภัย หลากหลายรูปแบบ ทั้งก่อสร้างอย่างแน่นหนาในกำแพงมหึมา ซุกซ่อนใต้ดิน ริมรั้ว ฯลฯ

เรียกว่าบางคนอาจจะไม่เคยเห็นมาก่อนด้วยซ้ำว่าเมืองไทยมีเซฟนิรภัยแบบนี้ด้วยหรือ?

การดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายเครือข่ายของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ จากตอนแรกส่วนใหญ่จะเป็น “กลุ่มตำรวจ” ที่มีทั้งเพื่อน ผู้ใต้บังคับบัญชา ลูกน้องคนสนิทในแวดวง บช.ก. รวมไปถึงญาติพี่น้อง การถูกดำเนินคดีของแต่ละคนแตกต่างกันไป อาทิ คดีหมิ่นเบื้องสูง ม.112, คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ,เรียกรับผลประโยชน์, คดีฟอกเงิน และคดีบุกรุกยึดถือครอบครองป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้

แต่เรื่องราวคดีถือว่าเข้มข้นขึ้นมาอีก!! เพราะจากประเด็นปมบ่อนกาสิโน ส่วยน้ำมันเถื่อน และวิ่งเต้นโยกย้ายสีกากียังได้แตกหน่อเพิ่ม โดยวันที่ 26 พ.ย. 57 พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก ตร. ได้ออกมาเปิดเผยถึงการจับกุมบุคคลที่มีศักดิ์เป็นเครือญาติของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ พฤติกรรมไปแอบอ้างสถาบันฯ อุ้มทวงหนี้ หน่วงเหนี่ยวกักขัง และกรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ ผู้ร่วมกระทำความผิด 5 คน ได้แก่1. นายณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา 2. นายสิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา 3. นายณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา4. นายสุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และ 5. นายชากานต์ ภาคภูมิ เหตุเกิดตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. 57 ในเขตรับผิดชอบของ สน.พระโขนง โดยลำดับที่ 1-3 มีศักดิ์เป็นญาติของ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์

นอกจากอุ้มทวงหนี้คดีแรกยังขยายบานปลาย ตำรวจจับกุม นายชลัช โพธิราช และ นายณัฐนันท์ ทานะเวช ดำเนินคดีสารภาพว่าได้ร่วมกับกลุ่มผู้ต้องหาชุดแรก ซึ่งได้รับการว่าจ้างจาก นายนพพร ศุภพิพัฒน์ อายุ 43 ปี ให้อุ้มตัว นายบัณฑิต โชติวิทยะกุล นักธุรกิจซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของนายนพพร ไปข่มขู่เพื่อให้ลดหนี้จาก 120 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท คดีนี้ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมนายนพพร เนื่องจากได้หลบหนีออกไปต่างประเทศแล้ว แต่ได้ออกหมายจับข้อหาหมิ่นเบื้องสูง ม.112, ร่วมกันทำร้ายผู้อื่น, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ และข้อหาร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใดไม่กระทำการใด หรือยอมจำนนต่อสิ่งใด

วันแรก ๆ สื่ออาจจะยังไม่ทราบที่มาที่ไปของ “นพพร ศุภพิพัฒน์” คือใคร?

เมื่อได้ต้องตรวจสอบประวัติย้อนหลัง ถึงกับตกตะลึงไปตาม ๆ กัน เพราะนายนพพร ศุภพิพัฒน์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลทหาร กรุงเทพ เลขที่ 138/2557 (ลงวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2557) ติดอันดับที่ 31 ใน 50 มหาเศรษฐีไทย ประจำปี พ.ศ. 2557 จากนิตยสารฟอร์บส์ ไทยแลนด์ ถือเป็นมหาเศรษฐีหนุ่มดาวรุ่ง ประกอบธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลม มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 25,600 ล้านบาท

ข้อมูลย้อนหลังของนายนพพร มหาเศรษฐีหนุ่มเมืองไทย พบว่าเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารในแวดวงธุรกิจ, นิตยสารดัง ๆ เมืองไทยมาหลายฉบับด้วยกัน โดยล่าสุดมีภาพขึ้นปกนิตยสาร Who ฉบับวันที่ 16 สิงหาคมพ.ศ. 2557 เปิดใจมหาเศรษฐีหนุ่มหมื่นล้านเมืองไทย กับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานลมใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ขณะเดียวกันทีมข่าวเศรษฐกิจเดลินิวส์ ได้เจาะลึกข้อมูลประวัติของนายนพพร ต้องยอมรับว่า ถือเป็นนักธุรกิจหนุ่มหล่อมาดดี แต่เติบโตมาค่อนข้างรวดเร็วอย่างไม่มีคนรู้จักนัก ย้อนหลังไปวัยเด็กใช้ชีวิตทั้งในเมืองไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย เริ่มก้าวเข้ามาลงทุนเล่นหุ้นไปด้วยในวัยเพียง 21 ปี จนรวยถึง 26 ล้านบาท จากนั้นสูญเงินทั้งหมดไปกับการทำนิตยสาร แต่ได้หวนกลับมาตั้งต้นใหม่กับธุรกิจพลังงานทางเลือกในปี พ.ศ. 2548 จนประสบความสำเร็จและสร้างความฮือฮา เพราะมีแรงหนุนจากทั้งคนดัง นักการเมือง

การตั้งต้นใหม่กับการจับธุรกิจพลังงานทางเลือก ในฐานะผู้พัฒนาโครงการพลังงานลมแห่งแรก ที่ได้ทำการตรวจวัดลมที่พิสูจน์ได้ว่าที่ อ.เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ มีศักยภาพที่จะก่อสร้างทุ่งกังหันลมเชิงพาณิชย์ได้ของประเทศไทย แล้วจึงก่อตั้งบริษัท วินด์ เอนเนอร์ยี่ โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทที่ประกอบกิจการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552 ด้วยทุนจดทะเบียน 1,088,373,000 บาท ทั้งนี้ บริษัทวินด์ฯ มีเป้าหมายที่จะลงทุนและพัฒนาพลังงานลมในประเทศจำนวนมาก โดยในระยะแรกได้ตั้งเป้าหมายการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศให้ได้กว่า 1,000 เมกะวัตต์ ซึ่งใกล้เคียงกับแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 10 ปี (2555-2564) ของกระทรวงพลังงาน

กระทั่งปี 2557 นายนพพร มีชื่อกลายเป็นมหาเศรษฐีหน้าใหม่ ติดอันดับที่ 31 ของฟอร์บส์ ไทยแลนด์ ด้วยมูลค่าทรัพย์สินกว่า 2.6 หมื่นล้านบาทเนื่องจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมกิจการพลังงานไฟฟ้าทางเลือก (ทำโรงงานไฟฟ้าพลังลม ให้บริษัทมีกำไรสุทธิถึงเกือบ 1.2 พันล้านบาทเมื่อปี พ.ศ. 2556 ) ที่สำคัญมีการวางแผนที่จะนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)ขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปในปี พ.ศ. 2558 เพื่อขยายบริษัทออกไปในภูมิภาค และประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

แต่วันที่ 1 ธ.ค. 57 ใครจะไปคิดบ้างว่า นายนพพร นักธุรกิจดาวรุ่ง มหาเศรษฐีหนุ่มเมืองไทย จะมาถูกออกหมายจับด้วยข้อหาร้ายแรง ล่าสุดตำรวจได้เบาะแสว่า นายนพพร หลบหนีออกนอกประเทศไทยไปทางด่านบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มุ่งเข้าประเทศกัมพูชา สันนิษฐานว่าจะหาช่องหลบหนีต่อไปทางฝั่งยุโรปและสหรัฐอเมริกา

คงต้องจับตาดูว่า เส้นทางชีวิตของมหาเศรษฐีหนุ่มดาวรุ่ง จะลงเอยเช่นไร?.


ขอบคุณคลิปจาก :: เรื่องเล่าเช้านี้ บีอีซี-เทโร

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์