ชีวิตพลิกผัน! จากผจก.ศูนย์รถยนต์ สู่คนขับรถคณะตลก ติดพนันหมดตัว-เมียทิ้ง ก่อนกลายเป็นตลกดัง! (คลิป)

เรียกได้ว่าเส้นทางชีวิตของตลกชื่อดัง คิง ก่อนบ่าย ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ชีวิตล้มลุกคลุกคลาน กว่าจะมาเป็นอย่างเช่นทุกวันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ล่าสุดเจ้าตัวได้มาเปิดใจผ่านทางรายการคุยแซ่บShow ทางช่อง วัน 31 โดยมีพีเค ปิยะวัฒน์, หนิง ปณิตา และเป๊กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกร

กว่าจะมีวันนี้ ชีวิตก่อนจะมาเป็น "คิง ก่อนบ่าย" เป็นยังไง?
คิง : ชีวิตผมล้มลุกคลุกคลานมาเยอะครับ ตอนนั้นผมเรียนช่างยนต์ พอเรียนจบก็ทำงานในพื้นที่ เป็นเซลล์ขายรถยนต์ หลังจากนั้นขึ้นมาเป็นผู้จัดการศูนย์รถยนต์ แต่ช่วงนั้นเป็นวัยรุ่น เราก็ไม่มีความรับผิดชอบกับตัวเองสักเท่าไหร่ ไปทำผู้หญิงท้อง ท้องในวัยเรียนอะไรแบบนี้ เราต้องรับผิดชอบเลี้ยงดูเขา ก็ทำงานแล้วเลี้ยงดูเขา

"เรามีอาชีพเล่นตลกไปด้วย เล่นตลกตามงานบวช งานบุญ งานแต่ง ยกเว้นงานฟรีอย่างเดียวที่ไม่ค่อยไป ตอนนั้นประมาณช่วงอายุ 18 ค่าตัวเล่นตลกงานวัดคืนละ 300 บาท ตอนนั้นใช้ชื่อ King ซุปเปอร์ฮาในการขึ้นโชว์ แล้วก็ใฝ่ฝันว่าอยากมีคณะตลกเป็นของตัวเองครับ"

มีงานเยอะไหม?
คิง : งานจะมีเฉพาะเสาร์ อาทิตย์ เราจะรับได้แค่เฉพาะช่วงนั้น เพราะว่าวันปกติเราทำงานที่ศูนย์รถยนต์ครับ

ชีวิตช่วงนั้น ฟังดูเหมือนน่าจะดี?
คิง : ชีวิตน่าจะดีครับ แต่ว่ามันสายงานการบริหาร เราเลยรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของเรา เพราะเราชอบในเรื่องของตลกทะเล้น ตลกโปกฮาอะไรอย่างนี้ วันหนึ่งเราเล่นคอมพิวเตอร์แล้วเจอรายการก่อนบ่ายคลายเครียด เขาประกวดรับสมัคร ค้นคว้าหาดาวตลก เราสนใจก็เลยส่งประวัติไป แล้วเขาก็ตอบรับให้เรามาออดิชั่น

"ตอนนั้นคำว่าออดิชั่นเรายังไม่รู้จักว่ามันคืออะไร แต่คิดว่ามันน่าจะยิ่งใหญ่แน่นอน เหมือนถูกคัดเลือกมาแล้วอะไรแบบนี้ เราก็ดีใจที่ได้รับเลือก หลังจากนั้นก็เข้ามากรุงเทพฯ เตรียมอุปกรณ์ที่จะเล่นตลกมาอย่างดี แต่พอเห็นคนที่ถูกคัดเลือกมา เราอยากกลับบ้านเลยครับ มีประมาณ 600 กว่าคน เราคิดเลยว่าเราจะเอาอะไรไปสู้เขา แต่ไหนๆ มาแล้ว เลยเข้าไปรอการออดิชั่น"

"เราขึ้นโชว์เล่นมุกไปเรื่อยๆ จนจะลงสุดท้าย พ่อเป็ดก็ถาม ผมได้ยินว่า นั่งลงได้ไหม? ผมก็นั่งพับเพียบเลย แต่จริงๆ แล้ว พ่อเป็ดเขาถามว่า เล่นหนังตะลุงได้ไหม? คนก็ขำกันปรบมือให้ ปรากฏว่า เขากดให้ผ่าน เราเข้ารอบ 30 คน เราเลยตัดสินใจว่าถ้าเราทำงานที่บริษัทแล้วเราเล่นตลกไปด้วย ทำงาน 2 อย่าง เดี๋ยวมันจะไม่ได้ดีสักอย่าง เลยตัดสินใจลาออกจากงานประจำ เพราะตอนนั้นใจเราไม่ได้อยู่กับงานประจำแล้ว ตอนหลังเราก็มาเรียนด้วยกันกับผู้เข้ารอบทั้ง 30 คน"

แล้วชีวิตมันไปลงเหวตอนช่วงไหน?
คิง : คือเรามาจากตำแหน่งติดลบ ตอนเราทำงานเป็นผู้จัดการ เรามีหนี้สินที่จะต้องชำระ แล้วมีลูกที่จะต้องเลี้ยงดู ตอนนั้นเราก็มีเมียคนที่ 2 อีก ในกรุงเทพฯ เราไม่มีญาติพี่น้อง ไม่มีอะไรเลย ก็ไปอาศัยข้าวที่ออฟฟิศกิน เพราะตอนนั้นเราเข้ามาทำงานในตำแหน่งพนักงานขับรถของคณะเชิญยิ้ม คือในใจคิดเลยว่าถ้าเราสนิทกับทีมงานเมื่อไหร่ เดี๋ยวเราคงมีโอกาสได้ขึ้นเวที

"แล้วเราก็รอมาเรื่อยๆ ว่าเมื่อไหร่เราจะได้ขึ้นเวทีคาเฟ่ที่ใฝ่ฝัน คือพระราม 9 แล้วก็กรุงธนฯ จนวันหนึ่งพี่นุ้ยเปิดโอกาสให้เราได้ขึ้นไปเล่น ก็เล่นอยู่ได้สักประมาณ 1 เดือน ซึ่งเป็นที่น่าจดจำมาก หลังจากนั้นพี่นุ้ยประกาศยุบวง เนื่องจากพี่นุ้ยงานทีวีเยอะ เลยไม่ไหว และไม่รับคาเฟ่ ก็เอาเราไปฝากไว้กับอาจารย์ดู๋ ดอกกระโดน ซึ่งไม่ใช่ทางเรา เพราะเราอยากจะใช้เชิญยิ้ม ก็เลยออก แล้วคิดว่าไม่เอาอีกแล้ว คิดจะกลับบ้านเพราะว่าอยู่ที่นี่หนี้สินก็เยอะ ค่าใช้จ่ายก็เยอะมันไม่คุ้ม"

เห็นว่าติดการพนัน จนชีวิตแทบไม่เหลืออะไรเลย เกิดอะไรขึ้น?
คิง : ตอนนั้นพอเราได้ไปอยู่คาเฟ่ที่พระราม 9 มันจะมีพวกตู้ม้า ตู้สนุ๊ก เราก็เห็น แล้วค่าตัวมันไม่พอ เล่นคืนนึงออกทีนึงได้ 300 คือภาพที่เราคิดในหัวตอนที่อยู่ต่างจังหวัดกับภาพจริงๆ มันต่างกัน อยากได้เงินเขาก็ต้องเอาเงินเราไปแลก ก็เล่นเรื่อยๆ ค่าตัวได้มาเท่าไหร่ก็หมด ห้องไม่ได้กลับ จนแฟนที่อยู่ด้วยเขาก็ทนเราไม่ไหว ก็เลิกกัน

ชีวิตช่วงนั้นคิดว่าเป็นจุดต่ำสุดไหม?
คิง : ประมาณว่า ถ้านั่งกินนั่งสังสรรค์กันอยู่ ผมจับแก้ว คือน้ำตาร่วงเลย จริงๆ เราทำตัวเราเองด้วย คิดว่าหนทางของเราจากนี้มันจะเป็นยังไงต่อ ถ้าเรากลับบ้านก็อายเขาไหมอะไรแบบนี้

เครียดหนักถึงขนาดทะเลาะลงไม้ลงมือ ทุบตีผู้หญิงด้วย?
คิง : คือผมเมาครับ เราเป็นคนที่ดื่มด้วย แล้วบางทีเราแบบเครียด ไม่เข้าใจอะไรแบบนี้ บางทีอารมณ์หึงหวงของเราด้วย ทำให้เราลงมือตบตี เรื่องนี้กับเมียคนแรกก็ทำแบบนี้ พอมีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อๆ มาเรื่อยๆ โดยเฉพาะตอนที่เราดื่มขาดสติ คือเราคิดอยู่เสมอว่าผู้ชายต้องเป็นใหญ่ คุณต้องฟังผม คุณจะมาเถียงผมไม่ได้ ถ้าเถียงขึ้นมาผมตบเลย

"เขาดื้อ ผมก็ต้องลงไม้ลงมือ นั่นคือในความคิด ณ ตอนนั้น จนพอเขาทิ้งไป เราก็มาคุยกัน แล้วพาไปหาญาติผู้ใหญ่ทางฝั่งเขา แล้วก็คุยกันว่าเราขอจบกันด้วยดีนะ เรามันไปด้วยกันไม่ได้จริงๆ แล้วขอบคุณที่เขาดูแลเรามาอะไรต่างๆ มีการปรับความเข้าใจกัน แล้วก็ขอโทษเขาเรื่องที่ผ่านมาที่เราทำไม่ดีกับเขาอะไรประมาณนี้ครับ"

หลังจากนั้นชีวิตก็เริ่มดีขึ้น เมื่อมาเจอภรรยาคนที่ 3 ใช่ไหม?
คิง : มีพี่ที่อยู่ในรายการก่อนบ่าย เขาทำร้านอาหารอยู่ที่เชียงใหม่ เขาบอกว่ามีพนักงานที่ร้านของเขา เป็นคนขยัน นิสัยดี อกหักมาเหมือนกัน เขาติดต่อให้ผม แล้วผมเป็นคนขี้เหงา ผมไม่สามารถอกหักได้เกิน 3 เดือน เราก็เลยคุยกัน ชวนมาใช้ชีวิตด้วยกัน ถ้ามันไม่ใช่ค่อยแยกกันไป คือตั้งแต่วันแรกที่เขามาอยู่ที่บ้าน ผมออกไปทำงานกลับมา ผมเห็นบ้านสะอาดมาก เสื้อผ้าพับหมด ผ้าที่กองไว้เขาก็เอาไปซัก

"มันเป็นภาพที่แบบคนที่ผ่านมาไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับเรา ทำให้เราถึงขนาดนี้ กลายเป็นความประทับใจ คิดว่าถ้างานบ้านเขาเรียบร้อยแบบนี้ เขาต้องดูแลชีวิตเราได้ เพราะในใจผมคิดว่าเราจะมีครอบครัวนี้เป็นครอบครัวสุดท้ายแล้ว คือจะต้องทำให้มันเป็นครอบครัวให้ได้ หลังจากที่ผ่านมาพังจากตัวเราเองทั้งนั้น แล้วผมสัญญากับเขาว่าผมจะเลิกทุกอย่าง ด้วยส่วนหนึ่งมีลูกอยู่ในท้องครับ แล้วผมก็แต่งงานกับเขาครับ"

ตอนนี้หน้าที่การงานชีวิตดีทุกอย่างแล้ว ถือว่าพอใจหรือยัง?
คิง : ถือว่าพอใจในระดับหนึ่งครับ ต่อจากนี้ไปก็คือรักษาตรงนี้เอาไว้ แล้วสานต่อให้มันก้าวหน้าต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะบอกอะไรกับตัวเอง?
คิง : ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ผมอยากจะบอกกับตัวเองว่า อย่าใช้ชีวิตประมาท แล้วอย่าเกเรเสเพลไหลหลากแบบนี้เลย ที่จริงควรตั้งเป้า แล้วรู้จักพอ ถ้าเรารู้จักพอให้ได้ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการพนัน การดื่ม เรื่องผู้หญิง มันจะไม่มีเข้ามาทำให้เราประสบอุบัติเหตุในชีวิตของเราเลย เชื่อว่าคนทุกคนมีปมที่มันผิดพลาดกันได้ครับ

ติดตามรายการ คุยแซ่บShow ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บShow รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama