ในละครไฮโซแต่ชีวิตจริง ต่อง สาวิตรี รันทด!จนถึงกับต้องพับถุงขาย(คลิป)
เรื่องราวในละครที่ได้แต่บทไฮโซแต่ในชีวิตจริงมันช่างตรงข้าม?
ต่อง : ในละครส่วนใหญ่จะเล่นเป็นคนรวย ถ้าย้อนไปตั้งแต่เรียนคนก็จะคิดว่าบ้านรวย แต่จริงๆ แล้วที่บ้านจน ด้วยโรงเรียนที่เรียน และตัวขาว ผมทองเหมือนฝรั่งบอกว่าบ้านจนไม่มีใครเชื่อ เราเป็นคนไม่กลัวความจนและไม่รู้สึกอายด้วย ตอนเด็กๆ รู้สึกว่าจนแล้วมันสนุก แต่แรกๆ อาจจะอายนิดหน่อย แต่พอมันผ่านไปได้ก็ไม่อาย เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่มุมมองของเรามากกว่า
เห็นว่าพี่น้องมี 6 คน มันลำบากขนาดไหน?
ต่อง : คือฐานะทางบ้านไม่ดี แต่คุณพ่อให้ลูกๆ เรียนโรงเรียนคอนแวนต์หมดเลย ค่าเทอมมันสูง ตอนเด็กๆ จนพี่ประมาณ 12-13 ปี คุณแม่ทำงานแม่บ้านฝรั่ง พอฝรั่งกลับประเทศเราก็ต้องหาที่เช่าบ้านใหม่ คุณแม่ก็เลยมาช่วยป้าขายของได้วันละ 50 บาท วันพฤหัสบดีพี่ไปช่วยล้างจานพี่ได้วันละ 15 บาท พี่แอบเอาเงินป้าตลอด เพราะรู้สึกว่าป้าให้เงินแม่น้อยไป แล้วตอนเอาเงินป้าพี่ก็ไม่ได้รู้สึกผิดเพราะเราเอาไปให้แม่
แล้วมันทำให้เรารู้สึกหรือเป็นปมเราบ้างมั้ย?
ต่อง : คนถามพี่ตลอดเลย พี่ว่าไม่นะ เป็นคนจนมันสนุก พี่เป็นเด็กซนมาก ตอนอยู่ในสวน อยากกินอะไรก็ยกมือไหว้แล้วเด็ดจากต้นเลย ถามว่ามีวีรกรรมอะไรมั้ย พี่จะมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนตั้งแต่เด็กว่าพ่อตีได้ แม่ตีไม่ได้ มีครั้งนึงแม่ไล่ตีพี่ พี่กระโดดท้องร่องหนีไปเกี่ยวกับลวดตาปูดเลย ตั้งแต่นั้นมาแม่ไม่กล้าตีพี่อีกเลย คือพี่ชนมาก
ต่อง : มันโดนสาระพัด จริงๆ มันทำให้เราเป็นเด็กมีปมด้อยและมีปัญหา มันเริ่มจากเพื่อนแม่ เขาพูดว่าเก็บมาจากถังขยะและมีคำอื่นๆ อีกมากมายที่มันไม่ใช่ลูกของพ่อแม่ ในตอนนั้นเราอาจจะเถียงไปแต่มันก็สะสมอยู่ในใจ มันมีคำถามอยู่ในใจหรือเราไม่ใช่ลูกเขาจริงๆ ด้วยความต่าง คำพูดที่ตอกย้ำ ตอนเด็กๆ ทุกคนเกิดจะรู้เพราะเราเป็นเด็กขี้สงสัย ซึ่งตอนเด็กๆ เรายังอยากจะไปเช็กที่โรงพยาบาลเลยว่าเราเกิดที่นั้นจริงหรือเปล่า ก็คิดมาเรื่อยๆ จนแม่เสียก็เลิกคิดเพราะไม่อยากได้คำตอบอะไรอีกแล้ว เอาจริงๆ พี่เคยคิดจะตรวจ ดีเอ็นเอ เลยด้วยซ้ำ แต่ ณ ตอนนี้ก็แฮปปี้กับชีวิต ไม่สงสัยอะไรทั้งนั้น
พอเข้าวงการบันเทิง แต่พ่อแม่ไม่สนับสนุน?
ต่อง : พ่อไม่ชอบเลย เขาเรียกเต้นกินรำกิน คือพี่เริ่มจากการถ่ายโฆษณาก่อนแล้วค่อยมาเล่นหนัง เล่นละคร คือพ่อไม่ชอบ แต่ด้วยเงื่อนไขในการดำรงชีพมันไม่ได้ พอพ่อเลิกทำงานตอนนั้นอายุ 60 กว่า แม่เป็นแม่ค้า มันไม่พอ จังหวะดีตอนนั้นพี่ได้ถ่ายโฆษณาได้ 10 บาทให้แม่ 5 บาท พอมาเล่นหนังแรกๆ ให้แม่ครึ่งนึง มันคือเหตุผลที่ทำให้พ่อไม่ปฏิเสธในการเข้าวงการของพี่
เห็นบอกว่าคุณแม่มีดูละครบ้าง แต่พอไม่ดูเลยจนวินาทีสุดท้ายของเขา?
ต่อง : คือพ่อไม่ชอบดูละครอยู่แล้ว คือจริงตอนคุณพ่อเสีย พี่ทำรายการสดอยู่ที่บ้านไม่ยอมโทร.มา คุณหมอที่โรงพยาบาลโทรมาบอกว่าพ่อเสีย พี่สติแตกอยู่ที่ล็อบบี้ พี่รับไม่ได้ เพราะนั่นคือการสูญเสียพ่อ พอแม่เสียพี่ก็ช็อกอีก คือพี่ไม่รู้ว่าพี่รักเขาแค่ไหน คือพอเราเป็นเด็กแบบนี้เรารู้สึกว่าเขาไม่ค่อยรัก พี่ก็ชอบเข้าไปกอด ช่วงท้ายๆ พี่ก็จะปิดเรื่องพ่อเป็นมะเร็งใครจะร้องไห้ออกไปข้างนอก พี่ก็จะถามพ่อว่ารักติ้งต้องมั้ย ในที่สุดพ่อก็บอกว่ารัก แต่แม่ไม่เคยพูดเลย พี่ก็ถามทุกวัน วันนั้นแม่บอกกับน้องว่าติ้งต้องยังไม่มาหรอ คิดถึง พอพี่ไปถึงพี่ก็ถามว่ารักติ้งต๋องมั้ย เป็นครั้งเดียวและครั้งแรกในชีวิตก่อนเขาจะเสีย เขาบอกว่ารัก
โรคที่พี่เป็นรักษายังไงก็ไม่หาย?
ต่อง : พี่เป็นไทรอยด์เป็นพิษ และเป็นการกลับมาเป็นครั้งที่2 ตอนที่พี่อายุยี่สิบกว่าๆ พี่เป็นไฮเปอร์ไทรอยด์ชนิดเผาผลาญมาก น้ำหนักลด อาทิตย์ละ 3 โล พี่ก็ดูแลตัวเองตลอด แต่ก็กลับมาเป็นอีกครั้ง
เห็นว่าไม่หายต้องทานยาตลอดชีวิต?
ต่อง : ก็คุยจริงจังกับคุณหมอว่าเราจะหายมั้ย หมอก็บอกว่าการเป็นครั้งที่ 2 มันไม่ส่งผลแล้วนะ ก็ต้องกินยาไปตลอดชีวิต แรกต้องเจาะเลือดทุกเดือน หลังๆ 3 เดือนเจาะสักครั้ง
ระยะเวลาที่ผ่านมาได้ข้อคิดอะไรบ้าง?
ต่อง : พี่ว่ามนุษย์มันอยู่ที่มุมมอง พี่เคยโดยโจรขโมยของ 2 รอบแล้ว ถ้าเราถูกเอาไปแล้วต้องซื้อใหม่เราก็เหนื่อย เราก็คิดว่าถ้าเราไม่ใส่แบรนด์เนมเป็นไรมั้ยก็ไม่ คือทุกอย่างมันอยู่ที่ความพอใจ ตอนที่ไม่มีแฟนทุกคนคิดว่ามันแย่ ซึ่งมันอาจจะมีช่วงแย่แต่สักพักเมื่อเราหาทางออกได้ อยู่กับปัจจุบันอยู่คนเดียวกับโรคแบบนี้ซึ่งมันจะไม่หาย ถ้าเราเปลี่ยนมุมมองชีวิตเราก็อยู่กับมันอย่างมีความสุข ไม่ว่าใครบนโลกนี้ก็ให้กำลังใจคุณไม่ได้นอกจากตัวคุณเอง