“เปาวลี-เอิร์ธ” เปิดใจ ความรักที่ต้องหลบซ่อน ทำเกือบเลิกกัน(คลิป)
ล่าสุด เปาวลี ควงเอิร์ธ มาเปิดใจถึงเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่อง one31 ที่มีพีเค ปิยะวัฒน์ และนุ้ย สุจิรา เป็นพิธีกร
ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีที่แล้ว เจอกันได้ยังไง?
เอิร์ธ : คือตอนนั้นผมเรียนอยู่ต่างประเทศ แล้วเปาเขาก็มาโปรโมทหนัง ผมกลับมาพอดี ก็เลยมีโอกาสได้เจอกัน เพราะปกติผมก็ไปตามรายการอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นยังไม่รู้จักนะครับ เพราะเขาก็ยังใหม่ในวงการด้วย
เปา : ใช่ค่ะตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จัก "เปา เปาวลี" เลย แล้วรายการนี้ก็เป็นรายการแรกๆที่ไปโปรโมทเลย
เห็นบอกว่าคนที่เป็นพ่อสื่อคือ "ป๋ากิ๊ก" ซึ่งเป็นคุณพ่อจริงหรือเปล่า?
เอิร์ธ : จริงๆก็ไม่เชิงนะครับ เราแค่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้นิสัยดีอะไรแบบนี้ แล้วคุณพ่อเขาก็ไปบอกเปา แล้วจะบอกว่าตอนที่เราถ่ายรูป หน้าตาก็ยังไม่ได้มองกันเลย หลังจากนั้นก็มีบางอย่างที่ทำให้เราชอบเขา
เปา : คือตอนนั้นเราถ่ายรายการเสร็จเรียบร้อย แล้วก็กำลังจะกลับบ้าน ก็ไปรออยู่หน้าสตูฯ เพื่อจะขอป๋าถ่ายรูปด้วย พอถ่ายกับป๋าเสร็จ ป๋าก็บอกให้รอแป๊บนึง เดี๋ยวจะเรียกลูกชายมาถ่ายรูปด้วย
แล้วมาเริ่มคุยกันได้ยังไง?
เอิร์ธ : หลังจากวันนั้นผมก็ไปขอเบอร์จากทีมงานครับ แล้วก็โทรไป ครั้งแรกเจอคุณแม่รับ เราก็บอกว่าเป็นทีมงานขอคุยกับเปาวลีหน่อย ก็เลยได้คุยกันครับ
เปา : พอคุณแม่ส่งโทรศัพท์มา เขาก็แนะนำตัว ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่ได้คุยอะไรมาก เพราะคุณแม่นั่งอยู่ใกล้ๆ และคุณแม่ก็ค่อนข้างห่วงเรามากพอสมควร เราก็พูดดังมากไม่ค่อยได้เปา : คือเราจะเป็นคนขี้ระแวงอยู่แล้วค่ะ แล้วก็ยังไม่มีใครเข้ามาในช่วงนั้นเลย อีกอย่างคือเราเพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน เราก็เลยคิดว่ามันจะดีเหรอถ้าเกิดว่าเราให้ใจเขาไปเลย เราก็ต้องดูก่อนว่าเขานิสัยใจคอเป็นยังไง แล้วพอเขาตัดสินใจที่จะคุยกับเราแล้ว เราก็อยากจะเห็นความพยายาม หรือไลฟ์สไตล์ของเขาว่ามันเป็นยังไง เราก็เลยให้ Facebook คุยผ่านแชทไปก่อนอะไรแบบนี้ค่ะ แล้วคุณแม่ก็บอกว่าให้คุยเป็นเพื่อนไปก่อน แล้วค่อยพัฒนาเป็นอย่างอื่นค่ะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็ยังอยู่ในช่วงของวัยรุ่น ซึ่งค่อนข้างยังเด็กอยู่
ดูใจกันนานถึง 3 ปี มั่นใจได้ยังไงว่าอยากจะรอผู้หญิงคนนี้?
เอิร์ธ : มีความรู้สึกว่าเขาก็อดทนไปกับเรา ก่อนหน้านี้เราก็มีแฟนมาหลายคนเหมือนกัน แต่ผู้หญิงคนนี้ระหว่างที่เราไม่อยู่ ระหว่างที่เราเรียนอยู่เมืองนอก เขาไม่เคยไปคุยกับผู้ชายคนไหนเลย เลยมีความรู้สึกว่าเหมือนเขาก็รอเราอยู่เหมือนกัน แล้วเขาก็เป็นคนที่รักครอบครัวของเขามาก แล้วเขาก็ยังรักครอบครัวเราด้วย เราก็คิดว่าถ้าเกิดวันนึงได้อยู่ด้วยกันเราคงเป็นครอบครัวที่รักกันมากแน่ๆเลย
เปา : คือจะบอกว่าตอนที่เขาเรียนอยู่อเมริกา ตอนที่ของเขาเช้า บ้านเราก็จะดึกพอดี เราก็จะมีเวลาคุยกันแค่วันละ 1 ชั่วโมงเท่านั้น แล้วจะอยู่ช่วงเวลาประมาณห้าโมงเย็น ก่อนที่เราจะไปงาน เขาก็จะเริ่มตื่นไปเรียนแล้ว ซึ่งช่วงนั้นแหละค่ะเราก็มีโอกาสได้คุยกัน
แล้วคุณพ่อมารู้ว่าเราคบกัน ได้ยังไง?
เอิร์ธ : คือว่าจะเป็นคนที่บอกครอบครัวตลอดอยู่แล้วครับ ว่าตอนนี้ทำอะไรอยู่หรือคุยกับใครอะไรแบบนี้ ซึ่งคุณพ่อเขาก็ทราบว่าเราคุยกับเราอยู่ ซึ่งตอนนั้นเขาก็โอเคไม่ได้มีปัญหาอะไรครับ แต่เขาก็มีบอกบ้างว่าอย่าเต็มร้อยนะ เพราะเราอยู่เมืองนอก ไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างอะไรแบบนี้ ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณพ่อจะห่วงลูกชายครับ
เห็นบอกว่าตอนเป็นแฟนกันก็ต้องหลบๆซ่อนๆตลอดเลย?
เปา : คือจะเป็นความระแวงของเราเองค่ะ เพราะประมาณ 8-9 ปีที่ผ่านมา Social หรือการเปิดเผยของดารามันยังไม่เท่าตอนนี้ ในตอนนั้นเราก็ยังคิดแบบสมัยก่อนค่ะ ว่าถ้าเกิดเราเปิดตัวไปแล้วมันจะกระทบกับงานของเราหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้ดังหรือมีคนรู้จักอะไรมากมาย แต่เราก็ต้องเลือกที่จะเซฟตัวเองไว้ด้วย อีกอย่างนึงคืออาชีพนี้มันก็เป็นความฝันของหนู และยังเป็นความฝันของทั้งครอบครัวด้วย
เคยรู้สึกแบบอึดอัดจนถึงขั้นไม่ไหวบ้างไหม?
เอิร์ธ : ก็มีนะครับเปา : ใช่ค่ะ ตอนนั้นก็คบกันประมาณ 2-3 ปีแล้ว ก็ไปดูหนังกัน และตอนนั้นเราก็ยังไม่ได้เปิดตัว เราก็เอาพี่ชาย และก็พี่ที่สนิทอีกคนนึงไปด้วย แล้วเราก็โทรเรียกเขาให้มาดูหนังกัน แล้วเราก็ไปกับกลุ่มพี่ๆ แล้วให้เขาเดินตาม คือจะไม่กล้ายืนใกล้กัน
เอิร์ธ : ตอนนั้นเราก็รู้สึกน้อยใจครับ ว่าทำไมชีวิตเราเศร้าจังเลย เป็นแฟนกันแท้ๆ แต่ทำไมคือบอกใครก็ไม่ได้ ต้องเดินตามดูเขาสนุกสนาน แล้วเราก็เดินคนเดียว เป็นเหมือนแฟนคลับที่ไม่มีคนสนใจ เป็นแบบนั้นเลยครับ ก็เลยบอกเขาว่าเราพอกันแค่นี้เถอะ รู้สึกไม่ไหวแล้วจริงๆเปา : ก็รู้สึกเศร้าค่ะ หลังจากที่ดูหนังจบทุกอย่างมันก็นิ่ง แล้วเราก็ต้องไปงานต่ออีก แต่พอมาเจอแบบนี้คือทุกอย่างมันนิ่งไปหมดเลย ซึ่งตอนนั้นเราทั้งคู่เองก็รู้สึกอึดอัด เลยคิดจะหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่นั้น
แล้วอะไรที่ทำให้กลับมาคุยกันอีก?
เอิร์ธ : หลังจากนั้นอีกประมาณอาทิตย์นึงครับ เราก็รู้สึกไม่ไหว นอนไม่หลับ กินอะไรก็ไม่ค่อยลง ก็โทรไปบอกเขา เรากลับมาคุยกันเหมือนเดิมเถอะ
เปา : คือเขาต้องบินกลับไปอเมริกา เราก็ไม่ได้คุยกันอาทิตย์นึงเลยค่ะ พอเขาโทรกลับมาเราก็ดีใจค่ะ ก็ได้แต่บอกเขาไปว่าให้อดทน ไม่นานเราจะผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
แล้วมาถึงจุดไหนที่เราคิดว่า จะต้องเปิดตัวแล้ว?
เปา : คือวันนั้นเราไปร้องเพลง แล้วมันคับเวลา 4 ปีพอดีที่เราบอกเขาไว้ ว่าครบ 4 ปีแล้วจะเปิดตัวอะไรแบบนี้ แล้วงานนั้นพี่ๆนักข่าวก็มาเยอะมาก แล้วเขาก็ตั้งไมค์ถามเราเลยค่ะ เราก็งงมากแบบไม่ได้ตั้งตัวเลย เราก็แบบว่าไหนๆก็เป็นฤกษ์งามยามดีแล้ว พี่ๆถามแบบนี้ เราก็ตัดสินใจบอกความจริงไปเลยค่ะ เราก็คิดมาตลอดค่ะว่ามันจะต้องถึงวันนี้ แล้วมาตอนนี้เราก็พร้อมที่จะตอบ และมันก็ถึงเวลาที่เราบอกกับเขาไว้แล้วด้วย อีกอย่างตอนนั้นหนูคิดว่ามันก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายและเราก็ไม่ได้ทำตัวไม่ดีด้วย แล้วเวลานี้เราก็พร้อมที่จะตอบทุกคำถามแล้วด้วยค่ะ
พอเขาตัดสินใจเปิดตัว เรารู้สึกยังไงบ้าง?
เอิร์ธ : เราก็ได้ฟังที่เขาสัมภาษณ์ ก็รู้สึกโล่งเลยครับ ก็บอกเขาว่าหลังจากนี้ก็รอดูแล้วกันว่ามันจะเป็นยังไงอะไรแบบนี้เอิร์ธ : โดยส่วนตัวผมรู้สึกเฉยๆนะครับ ก็มีเข้าไปอ่านบ้าง แล้วก็มีความรู้สึกว่าเขาไม่ได้รู้จักเรากับเปาตัวจริงๆ เขาเป็นแค่คนนอกที่มองเราจากภายนอกแค่นั้นเอง เขาไม่มีทางรู้หรอกว่าเราฝ่าฟันอะไรกันมาบ้าง
เปา : อันนี้หนูก็เข้าใจนะคะเรื่องกระแสเกาะคนรวย เพราะว่าครอบครัวเขาก็ค่อนข้างมีฐานะดีกว่าเรา แต่เราก็ภูมิใจที่ทุกวันนี้เราก็หาเลี้ยงตัวเองและครอบครัวได้ แล้วก็มีความสุขกับสิ่งที่เรามีอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ใช่เศรษฐีหรือมีอะไรมากมาย แต่ทุกวันนี้เราเลี้ยงพ่อแม่ได้เราคิดว่าเราโอเคแล้ว และเราก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องไปขออะไรจากเขาด้วย
เซอร์ไพรส์ขอแต่งงานยังไง?
เอิร์ธ : ตอนนั้นผมพาครอบครัวและเขาไปเที่ยวกัน ไปกันประมาณ 10 กว่าคนครับ ก็ซื้อแหวนเตรียมไว้เลย ใส่กระเป๋าข้างหลังไว้ครับ แล้วเราก็พาเขาเดินไปเรื่อยๆ สักพักเราก็ตัดสินใจล้วง แต่ก็หาไม่เจอ แล้วเขาก็เริ่มรู้ตัว ตอนหลังก็หาเจอ เราก็ดึงมือเขามาสวมเลยครับ ตอนนั้นคือตื่นเต้นมากครับ ทำอะไรไม่ถูกเลยไม่ได้มีการคุกเข่าใดๆทั้งสิ้นเปา : ตอนนั้นเราก็ตกใจค่ะ ว่าเขาทำอะไร อยู่ดีๆก็กระชากมือมา แต่เราก็ตอบตกลงค่ะ
เห็นว่าถึงขั้นเปลี่ยนศาสนาเลยด้วย?
เปา : คือตอนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนค่ะ แค่ไปเรียนคำสอนเฉยๆ ส่วนตัวหนูคิดว่าคนอื่นฟังอาจจะดูเป็นเรื่องใหญ่ แต่สำหรับหนูถึงแม้เราจะเปลี่ยนศาสนา แต่เราก็ยังมีครอบครัวที่เป็นศาสนาพุทธอยู่ เรามีแนวทางปฏิบัติกันมา เราได้เรียนพระพุทธศาสนาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งหนูก็คิดว่ามันคล้ายกันและมันเหมือนกันทุกศาสนา ที่สอนให้เราเป็นคนดี แล้วเดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้เคร่งหรือแตกแยกอะไร เราก็ยังประสามารถไปวัดทำบุญกับครอบครัวเราได้อยู่เหมือนเดิมค่ะ
มีข่าวว่าเรือนหอราคา 20 ล้าน จริงหรือเปล่า?
เอิร์ท : ไม่หรอกครับ เราแค่ซื้อเพิ่มหลังข้างๆคุณพ่อแค่นั้นเอง จริงๆมันก็ไม่ได้มีอะไรครับ