ใหญ่ ฝันดี ควงภรรยา เผยเส้นทางรัก 25 ปี เล่าประสบการณ์สุดหลอน กับสัมผัสพิเศษ
โด่งดังมาจากบทบาทคู่หูดูโอ้ชื่อดัง ที่ปัจจุบันผันตัวมาเป็นนักแสดง พิธีกร และบทบาทของอาสากู้ภัยช่วยเหลือผู้คน สำหรับ ใหญ่ ฝันดี จรรยาธนากร ที่ล่าสุดควงภรรยาสาวสุดสวย สา ธนวรรณ ออกมาเปิดเผยเส้นทางความรักกว่า 25 ปี ผ่านรายการ คุยแซ่บShow ทางช่อง One31 กับความรักครั้งนี้คือรักครั้งแรกและรักเดียวเท่านั้น พร้อมเล่าประสบการณ์สัมผัสพิเศษเห็นผีที่น่ากลัวยิ่งกว่าในหนัง
สา : ตอนนั้นใหญ่เค้าเป็นนักร้อง สาเป็นนางงามแล้วไปงานด้วยกัน พอดีมีพี่ที่รู้จักเค้าไปงาน เราก็ไป เค้าก็ไป
แต่ที่ที่เจอไม่ใช่บนพื้นดินเจอกันบนเรือยอร์ช เรือแล่นออกไปแล้วตีวงกลับมารับ ฝันดี-ฝันเด่น เรื่องมันยังไง ?
ใหญ่ : ไปสาย เราติดงานแต่ทางผู้ใหญ่เค้าอยากให้ไป
งานวันนั้นงานอะไร ?
ใหญ่ : เป็นงานวันเกิดล่องเรือจากแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นเรือส่วนตัวข้างบนมีดนตรีเล่น
ตอนนั้นอายุเท่าไหร่ ?
ใหญ่ : 16-17 พอ พอขึ้นไปข้างบนเราก็มองไปที่หัวเรือ เห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวผมยาวอยู่ตรงหัวเรือ
แล้วเรารู้มั้นว่าเค้าเป็นนางงามขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชนเวทีนางสาวไทย ปี2536 ?
ใหญ่ : ไม่รู้ เหมือนออกจากกะลามาแล้วแค่เจอคนที่เราชื่นชอบก็ให้คนไปขอเบอร์ ขอเบอร์เสร็จก็เก็บใส่กระเป๋า
แล้วเค้าสนใจเรามั้ย ?
ใหญ่ : ก็คุยบ้างเล็กๆน้อยๆ
หลังจากที่ใหญ่ได้เบอร์สาไปหายไปกี่เดือน ?
สา : ประมาณเดือนนึงมั้ง
ใหญ่ : ทำงาน ตอนนั้นทัวร์คอนเสิร์ตอยู่
แล้วเบอร์ไม่ได้ดึงดูดคุณขนาดนั้นเลยหรอ ?
ใหญ่ : หาย เมาไง หยิบไปหยิบมาแล้วหายไปไหนก็ไม่รู้ แต่เราก็ยังจำได้ว่าต้องหาเบอร์
แล้วทำยังไงล่ะ ?
ใหญ่ : คนเราจะตามหาสิ่งหนึ่งที่อยากได้คำตอบมันไม่ยากหรอก ดังนั้นเราต้องโทรหาเจ้าของงานวันเกิดซิ เราโทรไปก็บอกว่าลักษณะแบบนี้ๆ เค้าก็บอกว่าอ๋อ...น้องสา แต่พี่ไม่รู้นะว่าบ้านเค้าอยู่ที่ไหนยังไง แต่เดี๋ยวพี่หาเบอร์ให้
พอเค้าโทรมาเค้าโทรมายังไง ?
ใหญ่ : ก็คุยปกติ หวัดดีสาจำได้มั้ยใหญ่เอง เค้าก็ถามว่าหายไหน เราก็บอกว่าทำงานออนทัวร์พอไปทีไป 20 วัน ออนทัวร์สมัยกก่อน 20 จังหวัดไปทีเป็นเดือน พอคุยปุ๊ปเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามากเราก็บอกว่าวันนี้ว่างไปกินข้าวกันมั้ย
แล้วเดทแรกเป็นยังไงบ้าง ประทับใจเค้ามั้ย เค้าเทคแคร์ดูแลเรามั้ย ?
สา : ก็น่ารักดี พอมาคุยแล้วรู้สึกเค้าเป็นผู้ใหญ่ ความคิดเค้าโต
ใหญ่ : พอกินข้าวเสร็จก็ถามเค้าว่าไปเที่ยวต่อมั้ย เดี๋ยวพาไป เราก็พาไปสีลมเราอยากให้เค้าสนุกมั้งเลยพาไปโรม แต่เข้าไปแป๊ปเดียวไปดูเสร็จแล้วก็เดินออกมา
ตอนนั้นไม่มี Google Map มีแต่มือถือแต่คุณใหญ่สามารถสืบได้ว่าบ้านคุณสาอยู่ไหน ?
ใหญ่ : ได้แต่เบอร์โทรศัพท์มือถือมาเราก็ต้องไปตามหาบ้านเลขที่ หลังจากนั้นเราก็ต้องไปเปิด Yellow Pages (สมุดหน้าเหลือง) เราก็ดูว่าชื่อพ่อ ชื่อแม่เค้าชื่ออะไร นามสกุลอะไรพอมีที่อยู่ปุ๊ปเราก็ใช้เบอร์โทรศัพท์โทรไป 1133 โทรไปเพื่อถามว่ามันอยู่ตรงไหน เพราะบ้านเราอยู่พระราม2 แต่บ้านเค้าอยู่ตรงลาดพร้าว 80 อยากได้ลูกเสือเราต้องไปแถวบริเวณถ้ำเสือ พอไปถึงหน้าบ้านก็โทรหาเค้า เห็นรถเค้าจอดอยู่แล้ว เราก็บอกว่าเปิดหน้าต่างมาซิเดี๋ยวจะเห็น เราก็ยืนหล่อเลยในโทรศัพท์เค้าก็บอกว่า อ๋อเห็นแล้ว แล้วเราก็ขับรถไปเลย
แล้วตอนนั้นสารู้สึกยังไง ?
สา : ตกใจค่ะ เพราะว่ายังไม่ได้เปิดตัวเอง ไม่ได้อยากบอกเค้าว่าบ้านอยู่ไหน เราเหมือนอยากคุยมากกว่า
ใหญ่ : หลังจากนั้นลืมเล่าเรื่องนึงเป็นความประทับใจแล้วก็จำตลอดเลย วันนั้นตอนเราเป็นแฟนกันแล้ว เราก็บอกเค้าว่าเดี๋ยวเราจะไปลงเรือที่ครั้งแรกเราเจอกัน ตอนนั้นเราขับรถของเราไป BMW เตี้ย โหลดไปที่ท่าน้ำซึ่งพอไปถึงน้ำท่วม มาถึงแล้วก็ต้องไป น้ำเข้าถึงในรถครึ่งแข้ง รถเราต่ำกว่าทางขึ้นก็เลยให้สาปีนเข้าข้างหลัง ชุดสาก็สีขาวเหมือนเดิม เราให้เค้าปีนขึ้นไปเพื่อดึงเราขึ้นไปเพราะรถเตี้ย สิ่งที่เกิดขึ้นคือล้มลงไปในน้ำทั้งคู่เลยสรุปเปียกทั้งคู่แล้วก็กลับ พอสตาร์ทรถไม่ติดน้ำเข้าท่อ เป็นภาพจำ หลังจากนั้นก็เริ่มคุยกัน 5-6 เดือนก็เป็นแฟน กินข้าว แต่เราจะไม่มีเวลาตลอด 24 ชม. เพราะเราต้องทัวร์คอนเสิร์ต
ทำไมพี่สาตัดสินใจคบกับพี่ใหญ่ ?
สา : ก็อาจจะเป็นนิสัยเค้ามีความคิด โตกว่าเราด้วยซ้ำไปเค้าคิดได้เยอะกว่าเรา
ตอนคบกันแรกๆหลบๆซ่อนๆ เพราะศิลปินสมัยก่อนห้ามเปิดตัวแฟน ?
ใหญ่ : ก็ปกติ แต่ก็ไม่ได้โฉ่งฉ่างอะไร
แล้วทำไมเราไม่เห็นข่าวเลย ?
ใหญ่ : สมันก่อนยังใช้ Yellow Pages กันอยู่เลย
โดยส่วนใหญ่สาจะเป็นคนระวังตัวมากกว่า เพราะกลัวว่าจะมากระทบกระเทือนหรือเปล่า ?
สา : คบกับเค้าไม่เคยบอกเพื่อนเลย เพื่อนสนิทก็ไม่เคยบอกจะรู้แค่ครอบครัว อาจจะเป็นเพราะว่าเรารู้สึกว่าเค้าเป็นนักร้องมีชื่อเสียงมาก แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเราคบกันจะเป็นแฟนกันนานมั้ย
การเห็นสาเป็นรักครั้งแรกของเราหรือเปล่า ?
ใหญ่ : เอาจริงๆนะ ไม่ตลกเลยนะ ครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงปัจจุบันนี้
แสดงว่านี่คือรักแรกพบแล้วก็รักเดียวของพี่ใหญ่เลย ?
ใหญ่ : ใช่
แล้วคบกันนานมั้ยถึงตัดสินใจแต่งงานกัน ?
ใหญ่ : ประมาณปี 2539 คบกัน 3 ปี คบกันตั้งแต่ปี 2536
พี่ก็แต่งงานกันเร็วนะ ?
ใหญ่ : แต่งงานกันตอนอายุ 20-21 เป็นแฟนกันตอนอายุ 16-17
แขกในงานประมาณกี่คน ?
ใหญ่ : มีพ่อแม่ ญาติๆ ฝั่งเค้า ฝั่งเราประมาณ 50 คน
ด้วยความที่แต่งงานแบบส่วนตัวมารู้อีกทีว่ามีลูกแล้ว เค้าก็เลยนึกว่าท้องก่อนแต่ง ?
ใหญ่ : ใช่ ก็มีกระแสข่าว แต่ก็มีนักข่าวที่รู้จักเราเค้ารู้ว่ามันเป็นยังไง พอไปออกโทรทัศน์ถึงรู้ว่าลูกใหญ่แล้วก็อุ้มเจแปนตอนผ่านไปอีก 2 ปีครึ่งตอนเป็นทหาร
ใหญ่ไม่ได้ทำงานแค่เป็นดารา นักแสดง พิธีกร ทำจิตอาสาด้วย เราไม่รู้สึกว่าโดนแบ่งเวลาหรอ ?
สา : ไม่รู้สึก เพราะมีความรู้สึกว่าอะไรที่เค้าชอบก็อยากให้เค้าทำให้เต็มที่
ตอนสึนามิปีอะไรนะ ?
ใหญ่ : ปี 47
ก็ 10 กว่าปีมาแล้ว ตอนนั้นเรารู้จักกันแล้วตอนนั้นสาโทรมาแล้วก็ร้องไห้กับพี่ (ท็อป ดารณีนุช) ว่าทำยังไงดีใหญ่ไม่กลับบ้านเลยแล้วสาก็ห่วงว่าถ้าสึนามิมันกลับมาอีกรอบนึงจะทำยังไง ?
ใหญ่ : แต่ใจมันไปตรงนั้นแล้วเรารักในแบบนั้น บางทีมันก็มีคำถามสาถามว่าเธอบางทีมันมากไปขนาดนี้ เมื่อสิ่งนั้นมันห้ามตัวใหญ่ไม่ได้ให้ใหญ่ไปทำสิ่งนั้นเหอะ ต่อให้ใหญ่อยู่ที่นี่ใหญ่ก็เหมือนไฟใหญ่ก็ไม่คุยกับสา
สา : มันเหมือนกับว่าเค้าอยู่ที่นี่หรืออยู่ที่มีเหตุก็มีค่าเท่ากัน เค้าอยู่กับเราเค้าก็คุยติดต่อประสานช่วยเหลือตลอดมีค่าเท่ากัน ก็ให้เค้าไป ห่วงมั้ยห่วงมาก เพราะตอนนั้นสึนามิมาจะแจ้งเตือนเรื่อยๆก็ไม่มีใครก็เลยโทรหาพี่ท็อปอย่างที่บอก
แล้วใหญ่ไปหลงใหลจิตอาสาติดนิสัยมาจากใคร ?
ใหญ่ : จากแม่เราเนี่ยแหละ ตอนเด็กๆเดี๋ยวแหมะก็ไปโน่นไปนี่ไปช่วย มีคำพูดนึง "แหมะพวกหนูยังเล็กๆกันอยู่เลยทำไมแหมะไม่เคยอยู่ดูเลย" แหมะก็เลยบอกว่าวันนึงจะรู้พอเราโตก็อ๋อรู้แล้วว่ามันเป็นยังไง เวลามันถูกบังคับให้ต้องไปช่วยคน บังคับในที่นี้ไม่ได้คนมาบังคับนะแต่จิตใจเรามันไป อยู่ในที่ที่สงบแต่เราไม่สงบ อยู่ในที่ที่เป็นทุกข์เรากลับมีความสุขและสงบในสิ่งที่เราได้ทำมันเป็นอย่างนั้นมากกว่า
พี่สองคนแสดงออกความรักกันยังไง ?
ใหญ่ : ปัจจุบันก็พยายามทำให้มากขึ้น คือสาเค้าไม่ได้เป็นแบบเยอะๆที่จะแบบ อยากกินอะไร งอนอะไร อยากได้อะไร เค้าจะไม่ใช่
มีโอกาสได้บอกรักกันบ่อยมั้ย ?
ใหญ่ : น้อย
สาอยากจะบอกอะไรใหญ่ ?
สา : ก็จะบอกว่าเรารักเค้า รักครอบครัว ทุกอย่างที่ทำให้ก็คือมันมาจากข้างใน
เค้าเป็นสามีที่ดียังไงบ้าง ?
สา : ก็อาจจะไม่ดีมากแต่เค้าเป็นให้เราทุกอย่าง
ตอนเด็กๆรู้ตัวมั้ยว่าเราเป็นลูกคนดังซุปเปอร์สตาร์ ?
จินนี่ : รู้ค่ะ เพราะเวลาไปข้างนอกจะมีคนมาขอถ่ายรูปกับป๊า เคยเห็นละคร เคยโทรไปร้องไห้กับป๊าถามว่าป๊าอยู่ไหนเพราะฉากนั้นเป็นฉากที่ป๊าโดนยิง
แล้วเจแปนมีเพื่อนมาบอกมั้ยว่าพ่อเราเป็นดูโอ้ ?
เจแปน : เป็นอาจารย์ส่วนใหญ่ เพื่อนก็รู้จัก
ลูกสองคนนิสัยเป็นยังไงบ้าง ?
สา : น้องจินนี่จะนิสัยเหมือนใหญ่เป็นคนพูดเยอะ กล้าแสดงออก ส่วนเจแปนจะเหมือนสาไม่ค่อยพูด ชอบฟังมากกว่า
ป๊ากับแม่กลัวใครมากกว่ากัน ?
เจแปน : ป๊าจะดุกว่า
จินนี่ : ป๊าไม่ดุนะ
ส่วนใหญ่คุณพ่อ คุณแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร ?
จินนี่ : ไม่ค่อยเป็นเรื่องใหญ่แบบเลือกร้านข้าวไม่ได้ เหมือนแม่จะบ่นป๊าแต่จะไม่ว่าป๊าโดยตรงแต่จะว่ามาที่จิน
พี่สารู้เรื่องสัมผัสพิเศษพี่ใหญ่บ้างมั้ย ?
สา : รู้ค่ะ เพราะตั้งแต่คบกันแรกๆเค้าก็ชอบบอกว่าเค้าเห็นอันนี้ เราก็ฟัง
แล้วสาเคยขอให้ใหญ่ดูดวงให้หรือสัมผัสพิเศษอะไรให้เราบ้างมั้ย ?
สา : เคย ตอนนั้นนานมากแล้วบอกว่าดูให้หน่อยซิ เค้าบอกดูไม่ได้
ใหญ่ : เราอยากดูหมดทุกคนแหละ แต่มันดูไม่ได้ ไม่เห็นไรเลย
แล้วเวลาปกติถ้าพี่จะเห็นพี่เห็นยังไง ?
ใหญ่ : มันจะป๊ะกันพอดี เส้นกาลเวลามันพอดีกัน เรามองอีกแบบนึงนะ มันเกิดเป็นภาพขึ้นมาแล้วเราก็เห็นสิ่งนี้ ไปถ่ายรายการแต่งหน้าอยู่เรามองไปตรงบันได ทำไมเห็นผู้หญิงถือมีดยืนปาดคออยู่
จริงๆแล้วพี่ใหญ่เคยเห็นแบบนี้แต่เป็นภัยพิบัติแล้วมันก็เกิดขึ้นจริง ?
ใหญ่ : เราเห็นยังไม่เท่าไหร่กับการที่เรารู้สึกว่าเราถูกสั่งให้ทำในสิ่งนี้จะเจอแบบนี้มากกว่า สมมุติว่าตึกถล่มมันยังไม่เกิดเหตุ แต่เราเห็นภาพตึกถล่มแล้วเราก็ดำเนินการซ้อมแผนเรื่องตึกถล่มใช้เทคนิคอย่างนี้ อุปกรณ์ใช้อะไรบ้างพอฝึกเสร็จไม่เกินอาทิตย์นึงก็ตึกถล่ม แล้วเราก็ใช้แบบเดียวกัน มันถึงพ่วงกันว่าทำไมทีมของใหญ่กับเล็กถึงที่เกิดเหตุก่อน หนึ่งเพราะมันมีข้อมูลที่เราหาจากโลกโซเชียล ข้อมูลดิบนะ สองเราดันไปอยู่ศูนย์กลางของเหตุการณ์
เวลาที่พี่เห็นโหดสุดของเหตุการณ์พี่เห็นยังไง ?
ใหญ่ : มันก็เห็นเป็นเงาจากกำแพงมา เรายังไม่ได้นอนเลย ก็เป็นรูปคนเป็นเงาออกมาจากกำแพงเราก็มองเลื่อนลงมาใต้เท้าแต่เราเห็นอีกทีคือโผล่มาปลายเท้าเราเหมือนในหนังเลยก็โผล่มาเป็นเงาคนตัวใหญ่ แต่มันเป็นฟุ้งๆ แต่มันเป็นรูปร่างมันแตกได้ แต่พอมันเอื้อมมาจะบีบคอเราเราก็ง้างขาเอาไว้แล้ว ถีบเลย แล้วเราก็เห็นเงาเข้าไปในกำแพง เราก็บอกว่าอย่าให้แช่งนะ เดี๋ยวไม่ได้เกิดเลย
แล้วพี่จะเป็นหมอดูเลยมั้ย ?
ใหญ่ : ไม่ เราไม่ได้เรียนมาแบบนั้น เราไม่ได้ไขว่คว้าจะเรียน มันไม่มีอะไรเลยตัวเรา มันมีอย่างเดียวคือมันไปกับเรา ไม่ใช่ว่าแบมือแล้วดูเส้น ไม่มี