พัดชา ควงแฟนหนุ่ม เล่านาทีชีวิตดิ่งหวิดเป็นซึมเศร้า
ล่าสุด ทั้งคู่ได้จูงมือกันมาในรายการ Club Friday Show ซึ่ง พัดชา ได้เล่าในวันที่ชีวิตดิ่งสุดๆจนเกือบเป็นโรคซึมเศร้า แต่เพราะมี ปิงปอง อยู่เคียงข้างถึงผ่านมาได้ พร้อมอวดความหวานถึงความรัก พร้อมแย้มรอเพียงความพร้อมเราแต่งกันแน่นอน
ถาม สิ่งที่เป็นปัญหาคือ ชื่อเสียงที่หายไป หรือ เรารู้สึกว่าไม่มีเพลงดัง หรือเรารู้สึกว่าเงินไม่พอ
พัดชา : โอ้วโห่ !! ทุกอย่างรวมกันเลยค่ะ เพราะเราคิดว่าเราเข้าใจโลกความเป็นจริงว่า พักขอยกแบบนี้ก่อน เงินสำคัญ คือ ทำอาชีพไหนก็หาเลี้ยงชีพได้ถูกไหมคะ แต่พอเราเพิ่มข้อแม้มาว่าเราอยากจะร้องเพลงเพื่อหาเงิน ข้อแม้ที่สองจะมาว่าเราจะต้องมีชื่อเสียงเพื่อให้มีงาน มีเงิน ทุกอย่างมันสำคัญ สัมพันธ์ กันหมดเราไม่รู้ว่าต้องแก้ปมตรงไหนก่อนดี
ถาม คิดว่าจะเลิกร้องเพลงเลยไหม
พัดชา : เกือบ .. อยู่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าพัดเรียนจบดนตรีด้วย ความมั่นใจมันจะน้อยมากที่แบบ อ้าว ... กันทำงานตรงสาย แล้วเราจะไปเริ่มงานสายอื่นตอนอายุ 30 ปีกว่าๆแล้ว เราจะเอาอะไรไปรับรองเขาว่าฉันทำสิ่งนี้ให้ได้ มันก็จะยากนิดนึง มันก็จะเครียด บางทีก็รู้สึกว่าเลิกร้องเพลงเอาเวลาไปเรียนก่อน เพื่อเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง แล้วเอาเวลาแล้วค่อยไปสมัครงาน
ถาม ซึ่งในวงการเพลงมันยากตรงที่ หลายๆครั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราด้วย มันขึ้นอยู่กับ จังหวะอะไรบางอย่าง แล้วก็หาเหตุผลไม่ได้ด้วยว่าเพลงนี้ทำไมดัง บางทีเนื้อเพลงประหลาดๆก็ดัง เพราะฉะนั้น บางทีอย่าง ปิงปอง พัดชา คนในวงการเพลง เราแบบทำถูกต้อง 1 2 3 4 ถูกต้องตามลำดับขั้นตอนทุกอย่างแต่ทำไมมันยังไม่ดัง ไม่มีเหตุผลเลย มันเลยแก้ยาก
พัดชา : ใช่ค่ะ เมื่อก่อนตอบคำถามบ่อยว่า อยากเป็นนักร้องต้องทำยังไงบ้าง พัดบอกเสมอว่า การอยู่วงการนี้มีสามอย่าง อย่างที่หนึ่ง skill คือ คุณภาพ อย่างที่สองคือ คอนเนชั่น ถูกที่ถูกเวลา อย่างที่สามคือ ดวงเลยค่ะ
พัดชา : นานแล้วค่ะ พัดเพิ่งดิ่งไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา
ถาม ได้ปรึกษาหมอไหม
พัดชา : สรุปว่ายังไม่ต้องถึงขั้นตอนที่ต้องหาหมอค่ะ เพราะเราสามารถกู้ตัวเองขึ้นมาได้ก่อน โชคดีมากเลยนะคะ ที่เรามีแฟนเป็นพี่ปิงปอง ใครจะมานั่งดูเรากินข้าวแล้วนั่งร้องไห้ไปด้วยได้เป็นอาทิตย์ๆ เพราะเราส่วนใหญ่เรานั่งทานข้าวมื้อเย็นด้วยกันประจำ แล้วพี่ปิงไว้ใจเรา เข้าใจเรา ที่จะใจเย็นกับเรา เพราะบางทีคนอาจจะไม่เข้าใจก็ได้อะไรมากมาย ทำอะไรสักอย่างไหม ไม่ใจร้อนเลย แล้วก็เชื่อใจเรา มีบางวันที่เราไม่ไหวแล้ว เราปิดทุกอย่าง ปิดโซเชียล ไม่ไลน์คุยกับพี่ปองเลย เขาก็มั่นใจมากพอว่าพัดจะไม่ทำอะไรที่เป็นผลเสียให้กับตัวเอง แค่เรานอนคุยกับเพดานเฉยๆ เราสามารถนอนคุยกับเพดานได้เป็นวันๆเลยค่ะ ตอนนั้นเราคิดอยู่ในหัวตลอดเลยว่าเราอยากไปเรียนทำอาหาร ทำโน้นนี่ แต่ตอนนั้นมันเลือกไม่ได้ เพราะว่าภาวะตอนนั้น ทุกอย่างในหัวเรามันไม่มีอะไรเคลียร์เลย มันจะแบบ .. ถ้าเปรียบเป็นภาพคือทุกอย่างมันมัวๆ มันจะมีทุกอย่างเรียงกัน แต่เราไม่รู้ว่าเราจะเลือกอะไร เพราะทุกอย่างมันซ้อนกันไปกันมา แล้วคือ เรายังไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าตกลง เราต้องการอะไรกันแน่ รู้แค่ว่าตอนนี้เครียดมากเลย แล้วเศร้าจัง ตอนนั้นเราก็นอนอยู่กับตัวเอง แล้วก็ .. คิดว่าฉันควรทำอะไรบ้าง
ปิงปอง : อาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนั้นเรากังวลกับตัวเองด้วยครับ มากกว่าที่จะคิดเรื่องโมเมนต์โรแมนติกอะไรอย่างนี้ เพราะตอนนั้นเราเพิ่งสึกมา แล้ว.. เราก็ชอบน้องเขาจริงๆ แต่น้องเขาต้องมีทางเลือกนะเพราะเราคิดว่าเราไม่ได้สมบูรณ์แบบสำหรับเขา อายุก็เยอะกว่าเขาเยอะ อีกอย่างเราก็กำลังเริ่มต้นใหม่กับหน้าที่การงานเรา เงินที่เคยมีก็ไม่มีแล้ว มันสำคัญมากๆเลยนะคะ ที่เขาจะต้องเริ่มต้นใหม่กับเราหมดเลย มันวัดใจมากเลยนะครับ ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่น คือ เป็นเด็กวัยรุ่นสร้างตัวมันจะอีกแบบเลยนะครับ แต่นี่มาสร้างตัวกันตอน 30 ปลายๆมันแบบ สำหรับผู้หญิงบางคนเขาอาจจะคิดว่ามันใช่เหรอ เขาต้องมั่นใจในตัวเราพอสมควรเลยเหมือนกันนะ พอคิดเรื่องนี้เราเลยอาจจะไม่มีเวลามานั่งทำอะไรให้โรแมนติก เหมือนว่าถ้าเราทำอะไรที่โรแมนติก ตั้งแต่ตอนแรกเขาจะคิดว่าเราหวังผล
พัดชา : คิดว่าหนูจะปฏิเสธเหรอ
ปิงปอง : จริงๆๆมันรู้สึกแบบ เป้าหมายเราคือต้องจีบเขาให้ติด เราเลยคิดตอนนั้น ว่าเราบอกเขาก็พอ
พัดชา : ตอนที่เขาโทรมาจีบ คือเขาก็ตอบเลยนะคะ ว่าตัวเขาตอนนี้ ไม่มีอะไรแล้ว แล้วคือ เขาชอบเรา เขามั่นใจแน่ๆๆแล้ว ตอนนั้น พัด ไม่ได้ปฏิเสธนะคะ แต่กลับดีใจเพราะไม่มีคนมาชอบเราแบบนี้นานมากๆแล้ว ตอนนั้นโสดมา 5 ปี ไม่มีแฟนเลย มีไปชอบเขาแล้วเราก็โดนปฏิเสธ มีมาชอบเราแล้วเรารู้ตัวว่าไม่ชอบคนนี้แน่ๆเราก็หนีเขาเลย แล้วก็มาถึงที่พี่ปิงปองมาสารภาพกับเราเรารู้สึกว่า เราดีใจมากนะคะ
พัดชา : ตอนนั้นมีความรู้สึกว่า ดีใจน่าสนใจ มีความรู้สึกว่าเราน่าจะทำความรู้จักกันมากขึ้น ตอนนั้นเรา 30 แล้วเราก็ไม่ได้มีความรู้สึกว่า ต้องกระโดดเข้าหา โผเข้ากอดเพลงขึ้น ไม่มีล่ะ มันต้องอยู่ในความเป็นจริงล่ะ โอเค ถ้าเราจะคบกันเราต้องมารู้จักกันจริงๆแล้วนะ ต้องมาคุยกัน
พัดชา : เราคุยกันทุกอย่าง ทุกเรื่องกันต่อหน้าเลย เปิดใจทุกอย่างคุยกันเลย
พัดชา : พัดไม่เคยคิดเลยว่าผู้ชายคนไหนไม่เจ้าชู้ ขนาดนั้นเลย เพราะมีความรู้สึกว่าธรรมชาติของผู้ชายต้องมีความเจ้าชู้อยู่ในตัว แต่พอมาเจอพี่ปิงคือ เซอร์ไพรส์มาก เขาไม่สนใจอะไรดีเนอะ ชอบแซวเขาว่าหนูต้องสักชื่อเอาไว้แล้วนะเนี้ย ว่าของหวงนะจอง เพราะว่าไม่ใช่เขาจะไปเจ้าชู้ที่ไหนนะคะ แต่รุ่นนี้ ไม่ผลิตแล้ว รุ่นที่ไม่เจ้าชู้เลย 100%
ปิงปอง : ไม่ขนาดนั้นครับ จริงๆแล้วคือ ผู้ก็เหมือนผู้ชายปกติทั่วไปนะ พอเจอคนหน้าดีเดินผ่านเราก็มอง อยู่ดีๆกรุ๊ปโรงเรียนเก่าแชร์คลิปหวิวๆมาเราก็ดูเราก็เป็นคนปกตินี่แร่ะครับ
ถาม จริงๆเราเป็นคนเจ้าชู้ไหม
ปิงปอง : จริงๆคือเคยมีบ้าง แต่แว๊ปเดียวครับ แบบอยากลอง ตอนช่วงสมัย เปิดร้านเหล้าใหม่ๆ มันก็เป็นปกติครับ เป็นเจ้าของผับ ออกอัลบั้มแรก ร้องเพลงเพราะเล่นกีตาร์ได้ คือ มันก็มีออฟชั่นให้ดูโอเค เราก็เคยลอง แต่ไม่ใช่แบบมีแฟนแล้วไปมีคนอื่นนะครับ เราลองใช้โอกาสไปเรื่อย มันปรากฏอยู่สองอย่างไม่สนุกเลยครับ เราค้นพบว่า อย่างแรกหน้าตาดีแต่ถ้าคุยกับเราไม่รู้เรื่อง เราก็ไม่แฮปปี้กับความหน้าตาดีนั้นมันจะดับไปเร็วมากเลย แบบเรานั่งทานข้าวกัน 1 ชั่วโมงเราอยากกลับบ้านแล้ว ไม่ใช่ความผิดเขานะเราไม่อินกับสิ่งที่เขาเป็นอยู่ แล้วก็อีกแบบหนึ่งเลยคือ เราทำผับ อ่ะครับ ผมเป็นคนทำอะไรแบบตั้งใจเราก็เข้าร้านทุกวัน ทำงานทุกวัน เราอยู่ในที่แจ้งมากๆแล้วยิ่งมาเป็นนักร้องมันแบบ เราเหนื่อยจากเป็นเด็กฐานะปานกลางเกือบล่างอยู่ดีๆเราดันตัวเองขึ้นมาจนเราทำงานได้ประมาณนี้ เราจะมาพังตัวเองกับการที่เราเป็นคนเจ้าชู้แค่นี้จริงๆเหรอ คือมันไม่คุ้มที่จะเสียครับ
ถาม จริงๆคบกันมา 5 ปีกว่า คิดถึงเรื่องการแต่งงานไหม
ปิงปอง : จริงๆสำหรับผม ผมคิดนะเพราะงานแต่งงานมันสำคัญกับผู้หญิง เป็นความสำคัญสำหรับความรู้สึกเขา แล้วคือมันเป็นเรื่องของทางสังคมด้วย ครอบครัว พ่อแม่ ซึ่งเราต้องแคร์นะพอคบกันมาจุดหนึ่งเราค้นพบว่าแบบ ถ้าเราทั้งสองคนยังไม่แฮปปี้ในการแต่ง ก็ไม่ต้องแต่งก็ได้ ถ้าเราจะแต่งงานเพื่อให้เรามาทะเลาะกันเราจะจัดสรรเงินกันยังไง เรื่องผู้ใหญ่ยังไง เรื่องเสื้อผ้า การจัดงานยังไง คือถ้างานแต่งงานมันต้องทะเลาะกันรอก่อนก็ได้ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น คือ ถ้าพร้อมคือมันพร้อม