ทั้งชีวิตปีเตอร์มอบให้ลูก แต่ไม่ปิดโอกาสให้ตัวเอง
เป็นยังไงบ้างกับกระแสเพลิงนางในบทด็อกเตอร์ล่องชาด
ปีเตอร์ : ตอนนี้กระแสเรียกว่าดีเลยครับ เรตติ้งก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนในไอจีก็มีคนเข้ามาเมนท์ด็อกเตอร์โน้นนี่ !!
ในเรื่องนี้ คือ เบนซ์ บอกว่า ปีเตอร์ เป็นผู้ชายที่ให้ความหวังผู้หญิงมาก
ปีเตอร์ : ในละครคือ ด็อกเตอร์ เขาเป็นหนุ่มโสดมานาน แล้วคือ โมรี (เบนซ์) เขาก็หลงรักเรามานาน แล้วพอมี พลับพลา เขามาก็ยิ่งแบบเข้าหาเรา ดร.ล่องชาด เขาก็รู้สึกว่าต้องมีคู่แล้ว แต่เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใคร เพราะ โมรี เป็นคนที่ดูมั่นคง แต่เหมือนใจเราไปทาง พลับพลา เหมือนก็ดูเหมือนเราลังเลที่จะเลือกใครดีในเรื่องนี้ครับ
เหมือนชีวิตจริงเลยเนอะ
ปีเตอร์ : (หัวเราะ) ...ของคนอื่น!!
ปีเตอร์ : รู้จักกันมานาน 20 ปีแล้วครับ รู้จักกันตั้งแต่เดินแบบด้วยกัน ถ่ายแบบด้วยกัน เห็นเขาตั้งแต่ใส่ชุดนักเรียน เขาอายุประมาณ 12 พลอยเขาจะมากับแม่ กับ พี่นุ่น เราก็แซวเขาก็จะเขิน
ปีเตอร์ : แต่ในเรื่อง เพลิงนาง คือการได้ร่วมงานจริงจังครั้งแรกครับในการแสดง ถามว่าเขินไหมผมไม่เขินนะครับ เพราะเราก็โตๆกันแล้ว ที่ตัดสินใจรับเล่นเรื่องนี้ ต้องบอกว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะผมอยากจะร่วมงานกับ พลอย อยู่แล้ว แล้วผู้กำกับคือเราก็รู้จักกันสนิทกันเราก็สบายใจพี่ติ๊ก กำกับ แล้วที่สำคัญคือ พี่ฉอด ดูบทเรายิ่งสบายใจเลย
แล้วบรรยากาศตอนถ่ายเป็นยังไงบ้าง เพราะในเรื่องดูแต่ละฉากคือ มีแต่ตบมีแต่ตีกัน เตอร์ เครียดไหม??
ปีเตอร์ : ไม่เครียดครับ เพราะ สั่งคัทเราก็เล่นตลกใส่กันเลย เพราะเราเป็นคนชอบสนุก ชอบแกล้งอยู่แล้ว
นอกจากจะเป็นคนที่หาความสุขให้กับตัวเองแล้ว เตอร์ ยังเป็นคนขยันมาก เล่นละคร ร้องเพลง และยังทำธุรกิจเยอะมาก ทำโปรดักชั่นเฮ้าส์ ทำอาหารเสริม ทำรายการของตัวเอง
ปีเตอร์ : คือแบบนี้ครับ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ผมทำโครงการเกี่ยวกับมอเตอร์ไซส์เป็นโครงการที่ดีมากเป็นโครงการท่องเที่ยว ชื่อรายการว่า ขี่ตามฝัน แต่มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมหยุดโครงการไปเพราะว่า เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมยังพูดอะไรมากไม่ได้เกี่ยวกับโครงการนี้ แต่ตอนนี้พูดได้ล่ะ ว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสได้เจอกับฝรั่งที่เขาทำโปรดักชั่นฮอลีวู๊ด มันมีวิธีที่จะอัพสเกลได้ จากที่ทำพูดในรายการเป็นภาษาไทย ต่อจากนี้เราจะทำเป็นอินเตอร์มากขึ้นครับ
ปีเตอร์ : เพราะล่าสุดผมเพิ่งไปได้สัญญา History Channel 26 ประเทศ 138 ล้านครัวเรือน ประมาณ 500 ล้านคน พอได้สัญญามาแล้วผมเลยหยุดออกอากาศทางประเทศไทย แล้วเราก็ร่วมหาสปอนเซอร์พอทุกอย่างลงตัว โควิดมาเลยต้องหยุดหมด (หัวเราะ) เราเลยต้องพักโครงการไปก่อน โดยเฉพาะเมืองนอกเขาก็ได้รับผลกระทบมาก แต่พอสถานการณ์ดีขึ้นก็จะกลับมาทำเหมือนเดิมรายการยังอยู่ใครสนใจเป็นสปอนเซอร์ได้นะครับ (หัวเราะ)
ปีเตอร์ : และตอนนี้เรากำลังพัฒนาโปรเจคอยู่ครับ ในการทำหนัง ซีรีส์ เพื่อให้ผลงานของไทยก้าวไปสู่อินเตอร์โดยได้ทีมงานจากฮอลลีวู้ดมาช่วยในการพัฒนางานครั้งนี้ครับ เราได้ติดต่อกับพาสเนอร์หลายๆคนกับทางฮอลลีวูด ทั้งโปรดิวเซอร์ ผู้เขียนสคริปต์ ตากล้อง ผู้กำกับ ซึ่งแต่ละคนเป็นระดับมืออาชีพ เขาได้รางวัล เอมมี่ มาหลายตัวแล้วนะ คือ เขาเป็นระดับมือต้นๆของฮอลลีวู๊ดเลย ทำหนังประสบความสำเร็จมาหลายเรื่องมาแล้ว ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรเจคที่ผมตั้งใจทำครับปีเตอร์ : หลายๆคนก็ทักมาว่าได้ยินแต่เพลงละคร เมื่อไหร่เราจะมีเพลงของเราเองจริงๆ ผมก็ทำเพลงมาเรื่อยๆอยู่แล้วนะครับ แต่ไม่ได้มีเวลาโปรโมท แต่ก็มีสต็อกเพลง 6-7 เพลง แนวเพลงคงไม่ได้หนีความเป็น ปีเตอร์ สำหรับเพลงนี้ที่มันพิเศษ ที่เพิ่งปล่อยออกมาชื่อเพลง เถ้าถ่าน เพลงนี้เหมาะกับคนในช่วงนี้มาก ชีวิตตอนนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดมาพังทลาย ไปไม่ถูกทำอะไรไม่ได้ ผมจึงอยากขอเป็นกำลังใจให้ ถ้าคุณมีจุดมุ่งมั่นขอให้คิดให้ได้ว่าอยากจะทำอะไรก็จงเดินไปอย่างแต่ละวันๆ เดินไปทีละก้าวสักวันหนึ่งก็จะถึงเอง คุณลองเปิดใจและจะเห็นโอกาสเพราะโอกาสอยู่รอบตัวเราตลอดเวลา พิมพ์ในยูทูปว่า เถ้าถ่าน ก็จะขึ้นเลยครับ
อีกหน้าที่สำคัญที่เราเห็นคือ หน้าที่ของคุณพ่อ
ปีเตอร์ : กำลังแสบเลยครับ ตอนนี้แพนเตอร์ กับ พูม่า อายุ 5 กับ 6 ขวบครับ (ตอนนี้ก็รับละครบ้างแล้วนะครับ) คือลูกของผมหลักๆจะอยู่กับแม่ แล้ววันหนึ่งแม่ของเขาโทรมาบอกเราว่าแพนเตอร์เล่นละครแล้วนะ (ยิ้ม) การได้เล่นละครก็ดีนะ แต่ให้เขาได้ลองมันก็ดีนะถามว่าเร็วไปหรือเปล่าสำหรับเด็กการเล่นละครเขาอาจจะเครียดก็ได้ แต่ผมเชื่อว่า แพนเตอร์ เขาสายเอ็นเตอร์เทนอยู่แล้ว ชอบเต้น ชอบโชว์ ชอบคุย คิดว่าเขาสามารถควบคุมได้ ในส่วนตัวผมไม่ได้หวงห้ามเลย ถ้าเขาอยากลองเราก็อยากให้เขาไปลองจริงๆ แต่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของเด็กคือ การศึกษา ห้ามขาด ห้ามทิ้งเด็ดขาด ถ้ากระทบการศึกษาผมจะไม่เห็นด้วย แต่ถ้าเขายังรับผิดชอบคือ ทำการบ้านได้ยังทำควบคู่กันได้ก็ลองดูครับ
ปีเตอร์ : พอผมรู้ว่าเล่นละครผมก็เอาบทมานั่งดูกับลูก เพราะเตอร์เขาอ่านภาษาไทยได้ เราก็ให้เขาอ่านให้ฟัง เพราะภาษาไทยของเขาแข็งแรงกว่าเรา (หัวเราะ) เราก็จะอธิบายให้เขาฟังว่าในบทของเขาจะต้องเจออะไรบ้าง เขาต้องแสดงยังไงรู้สึกยังไง พอเขารู้แล้วเขาจะได้รับมือถูกไม่ตกใจพอเจอหน้างานแล้วเขาจะได้ไม่กดดันแล้วเล่นไม่ออก เราก็จะบอกว่าในกองจะมีคนเยอะแยะมากมายมีไฟ มีแบบนั่นนี่นะ เราก็อธิบายให้เข้าฟัง และลองซ้อมกับเขา แล้วเด็กต้องสื่ออารมณแค่ไหนอะไรยังไงบอกเลยว่าไม่ง่ายเลยครับ แต่ แพนเตอร์ เขาหัวเร็วหายห่วงครับ
พอมีลูกชีวิตเราเปลี่ยนเลยไหม ??
ปีเตอร์ : แน่นอนครับ การที่มีลูกให้เรามองเห็นอนาคตจากที่อะไรก็ได้ทำโน้นบ้างนี่บ้างคือ ไม่ได้ล่ะ ทุกอย่างต้องวางแผนไม่ได้วางแผนเพื่อเรานะครับ แต่วางแผนเพื่อลูก
ทุกอย่างทำเพื่อลูก ดูแลลูก แล้วเคยมองหาคนที่มาดูแลตังเองไหม ??
ปีเตอร์ : ต้องยอมรับว่าหลังจากที่ความชุลมุนวุ่นวายในชีวิตของผม ผมรู้สึกพอล่ะ ตั้งใจว่าจะไม่ให้มันเกิดความวุ่นวายอีก จุดเปลี่ยนคือช่วงที่น้องชายผมเสียถ้าเราปิดกั้นต่อไปเราคงไม่มีความสุข เพราะตอนนั้นทำให้เรารู้ว่าชีวิตคือมีจุดเปลี่ยนมากมายและเปลี่ยนได้ตลอด ถ้าเราคิดจะทำอะไรเราก็ควรทำเลย เราก็ไม่ได้วิ่งหาว่าจะต้องมีคนเข้ามา หรือเราต้องเข้าหาเขาเราแค่เปิดให้มีโอกาสได้เจอแค่นั้น สักวันหนึ่งเราคงจะได้เจอใครสักคน แต่ในวันนี้ยังไม่มีครับ