ม้า อรนภา เปิดใจครั้งแรก กับชีวิตหลังหลุดพ้นจอ-ฝากบอกทุกคนว่า..?
เกือบ 2 เดือนแล้วที่หายไป?
"จวนแล้ว ไม่ได้หายแค่หน้าจอ ไอจี กับเฟซบุ๊กก็หายด้วยเหมือนกัน ไม่ลงอะไร ไม่เล่นอะไรใดๆ ทั้งสิ้น"
สภาพจิตใจตอนนี้เป็นยังไงบ้าง?
"ก็สบายดี"
ช่วงใหม่ๆ ที่เกิดเรื่อง?
"ก็ต้องบอกว่าเสียใจ ที่มันเกิดขึ้น คนที่ทำงานตลอดทุกวัน ไม่เคยหยุดเลยนะตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ มาแต่งหน้าแล้วเป็นนางแบบ จนเล่นละคร เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง ไม่เคยหยุดเลยสักวัน อยู่ดีๆ ก็โช๊ะ มันก็เสียใจเป็นธรรมดา แต่ถามว่าเสียใจมากมั้ย เสียใจไม่มาก ก็ต้องขอบคุณตัวเองที่ได้ปฏิบัติธรรม ก็เลยทำให้รู้และเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น"
"การเอาเพศสภาพเข้ามาเป็นการบูลลี่ จริงๆ แล้วคำด่าหยาบคายเจอมาเยอะมาก ดิฉันโดนทัวร์ลงมาตั้งนาน หลายคดี เป็นคนตรงไปตรงมาและมักไม่ค่อยระวังคำพูดบางครั้ง เช่นมีอยู่ครั้งนึง เราพูดเรื่องการเล่นสงกรานต์ ตอนนั้นรัฐบาลบอกว่าไม่อยากให้ช้รถกระบะและมีน้ำอยู่หลังรถกระบะแล้วสาดกัน เพราะมันอันตราย ขับไปคนอาจตกลงมาเสียชีวิตเกิดอุบัติเหตุได้ พิธีกรร่วมที่นั่งอ่านข่าวด้วยเขาบอกว่าเป็นวัฒนธรรม ดิฉันก็บอกว่าวัฒนธรรมเลวน่ะสิ แค่นั้นโดนด่าไป 4 วัน ตอนนั้นไปเที่ยวต่อช่วงสงกรานต์ ดิฉันไปตุรกี โปรตุเกส ก็ด่าดิฉันไปถึงตุรกี โปรตุเกส (หัวเราะ)"
ในความรู้สึกบางอย่างอาจถูกต้องแต่ไม่ถูกใจ?
"ก็น่าจะใช่ ดิฉันใช้คำตรงและแรง อาจไม่ถูกใจคนบางคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกครั้ง รวมทั้งล่าสุดก็เหมือนเป็นการเตือน แต่เป็นคนที่ใช้คำอะไรตรงไปตรงมา ก็จะดูแรง"
โดนเรียกว่าลุงพรชัย?
"อันนี้ที่อยากตอบ การด่ากันไม่เจ็บปวดหรอก ไม่ได้โดนเนื้อตัว โดนตบ โดนทิ่มแทง ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ แต่เรื่องการบูลลี่เรื่องเพศสภาพ ดิฉันว่าคนมาบูลลี่คุณเรียกร้องสิทธิมนุษยชน เห็นบางรายการคนเป็นพิธีกรนำก็เรียกร้องเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน แต่ว่าการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนแบบนี้แล้วทำไมถึงทำเองซะล่ะ ทำไมเป็นผู้กระทำเอง ขณะที่คุณเรียกร้อง ดิฉันไม่เคยไปก้าวก่ายสิทธิมนุษยชนคนอื่น ในเรื่องส่วนตัวเขา เราไม่พูดเรื่องการเกิดเหตุการณ์ขึ้นมาอันนั้น เพราะดิฉันช็อก ตกใจ จึงต้องพิมพ์อะไรอย่างนั้นไป แต่ว่าเราไม่เคยทำในลักษณะแบบนี้ ถ้าทำไปแล้ว ทำไมถึงต้องใช้วิธีการแบบนี้"
"จริงๆ แล้วโลกต้องเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน อย่างยุคของดิฉัน ก็เป็นยุคการเปลี่ยนแปลง พ่อแม่ก็รับไม่ได้เหมือนกัน เป็นเรื่องที่สิ่งใหม่ๆ เข้ามา รุ่นดิฉันเป็นรุ่นพ่อแม่ที่มีลูก และมักสั่งสอนว่าแกต้องมีความคิดเป็นของตัวเองสิ แกอย่าดักดานสิ แกต้องรู้จักการแสดงออก เพราะเด็กสมัยก่อนไม่กล้า ผู้ใหญ่พูดอะไรก็ไม่กล้าพูด แต่เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไป เด็กสมัยนี้เขาไม่ได้สัมผัสสิ่งที่ดิฉันสัมผัสมาในส่วนความเป็นอดีตกาล มันเลยลำบากอยู่พอสมควรเหมือนกัน เขาก็จะคิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย ฉันมีความคิดแบบนี้ ฉันสามารถเถียงได้ พูดได้ เลยเกินไปถึงความก้าวร้าว คุณจะไม่นอบน้อมก็เป็นสิทธิที่คุณเรียกร้อง สิทธิส่วนบุคคล สิทธิมนุษยชน หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ต้องมีความเป็นไทยอยู่ เพราะเราจะไปเป็นฝรั่งผมทอง ตาฟ้าก็คงเป็นไปไม่ได้ ยังไงก็ต้องมีกำพืดเก่าอยู่แล้ว ถึงคุณจะไปย้อมผมใส่คอนแทคเลนส์ยังไง กำพืดเราหนีไม่พ้น แล้วกำพืดที่เรามีอยู่เป็นสิ่งที่น่ารัก ฝรั่งเองซะด้วยซ้ำที่เขาชอบของเรามากนะ มันมีเอกลักษณ์ เจอกันก็ยกมือไหว้กัน เราถึงไม่ติดโควิดไง(หัวเราะ)"
สองเดือนที่หยุดงาน ถือว่าหนักสุดในชีวิตมั้ย?
"ลงดิ่งเลยค่ะ ในวิถีชีวิตตัวเองลงดิ่งไปสุดเลย"
สองเดือนที่อยู่ที่บ้าน ได้มีโอกาสใกล้ชิดคุณแม่มากขึ้น?
"จริงๆ ทุกอาทิตย์เราต้องเจอกันอยู่แล้วเป็นธรรมดา ไม่เจอไม่ได้ คุณแม่อายุตั้ง 95 จะ 96 เยอะมากนะ แต่ยังแข็งแรง ความจำดีทุกเรื่องราว โชคดีของดิฉัน เป็นบุญของลูกที่มีแม่แบบนี้ (หัวเราะ)"
ช่วงที่ผ่านมา คุณม้ากับคุณยายต้องทำห่อหมกขาย แต่จริงๆ ไม่ใช่?
"คุณแม่ดิฉันเป็นช่างทำผมมาก่อน แล้ววันนึงคุณแม่ก็ย้ายร้าน เราอยู่อาคารพาณิชย์ตลอด พอย้ายมาอีกฝั่งแกก็เปลี่ยนเป็นร้านอาหาร พอหนี้สินของตึกหมดแล้ว แกก็เลิกทำร้านอาหาร เอาร้านเสริมสวยมาอยู่เหมือนเดิม แต่ข้างหน้าร้านแกก็ยังเอาขนมมาขาย เป็นขนมหวาน และมีขายห่อหมก เป็นของคาวที่เหลืออยู่ เราทำมานานมาก วันนึงขนมหวานก็เลิกไป เหลือห่อหมก แกก็ทำมานานมาก จนกระทั่งช่วงที่ล็อกดาวน์ คนที่เป็นผู้ช่วยของแม่เขาขอลาออกเพื่อกลับไปอยู่ต่างจังหวัด ดิฉันก็เลยบอกว่างั้นเลิกเลยแล้วกัน เพราะคุณแม่อายุ 90 กว่าแล้ว อย่าทำเลย ถ้าไม่มีผู้ช่วย อยู่คนเดียวแกก็เครียด ก็หยุดไปเลยไม่ได้ทำ ดิฉันยังบอกว่าเอาซึ้งไปให้คนอื่นมั้ย น้องสาวบอกไม่เอา เก็บไว้ก่อน พอหลังจากที่เลิกล็อกดาวน์แล้ว ทุกอย่างเปิดให้ไปไหนมาไหนได้มากขึ้น น้องสาวเขาก็ทำผม แล้วร้านทำผมไม่ได้กลับมาดีเหมือนเดิม คนเริ่มประหยัดมากขึ้น ดิฉันก็เลยบอกว่าอยากจะทำมั้ยห่อหมกกับแม่ เดือนละสองสามหนมั้ยเดี๋ยวรีวิวให้ เธอจะได้มีรายได้ แต่ตอนนั้นดิฉันยังไม่โดนไล่ออกจากการทำงาน ก็เลยลุกขึ้นมาทำกัน ตั้งแต่บัดนั้นก็เลยทำกันมา พอเริ่มทำก็เริ่มรีวิวให้เขา เขาก็ขายได้ ขายดี แต่มาขายดีเอามากๆ คิวจองไปถึงเดือนก.พ. ปีหน้า ตอนทัวร์ไปลงห่อหมกแม่ดิฉันนี่แหละ"
"คือช่วงโควิดแล้วหยุดไป แม่ไปรพ.ทุกอาทิตย์เลย เดี๋ยวเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นโน่น แต่หลังจากที่มาทำ แกไม่ต้องไปรพ. เออ ดีเนอะ เหมือนแกไม่เฉา ได้ทำโน่นทำนี่"
ทัวร์ไปลงคุณยายได้ยังไง?
"ก็คงพาลไปหมดมั้งคะ (หัวเราะ) น้องสาวเล่าให้ฟังว่าเช้ามาก็โทรมาด่ากันแล้ว จนต้องเอาโทรศัพท์ออกหมดเลย ตกใจ"
แต่ก็ยังมีคนอุดหนุนเพจ?
"โอ้โห คนคงเห็นใจ"
อาจะตรงกับช่วงพักงานด้วย?
"เขาเรียกพักงานเหรอคะ ขอบพระคุณมากที่ใช้คำนี้ (หัวเราะ) ดูดีจัง เหมือนจะได้กลับไปอีก (หัวเราะ) คนคงเห็นใจ"
"ห่อหมกปลาช่อนอย่างเดียว"
พี่ม้าเป็นนักสู้คนนึง ตั้งแต่ผมอายุ 17 รู้จัก 30 ปี พี่ม้าต่อสู้ทำงานด้วยความแข็งแรง ด้วยความแกร่งตลอด และให้คำสั่งสอนรุ่นน้องๆ มาตลอด ทำไมครั้งนี้เลือกไม่ตอบโต้อะไรเลย?
"ตอบโต้ไปก็เท่านั้น เหนื่อยเปล่าๆ อาจเป็นเพราะว่าตลอดระยะเวลา 7-8 ปีได้แล้วที่เริ่มปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราว"
เรื่องมูเตลูมีมั้ย?
"มีบ้าง ต้องบอกว่าตั้งแต่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น มีวิกฤตเกิดขึ้นในชีวิต เพื่อนๆ กัลยาณมิตรทั้งหลายเขาก็ชวนไปเที่ยวบ้าง ไปโน่นบ้าง ไปมูฯ บ้าง เยอะแยะเลย"
เวลาไปมู ไหว้พระ ขออะไร?
"ขอให้ได้กลับมาทำงาน คือทำงานมาตลอดชีวิต จนเพื่อนๆ บอกว่ามึงหยุดซะบ้างก็ดี ได้พักผ่อน เป็นต้น ทุกคนก็ยังสงสัยว่าเกษียณอายุไปขนาดนี้ ยังไม่หยุดอีกเหรอ"
นี่เกษียณแล้วเหรอ?
"(หัวเราะลั่น) จ๊ะ ดิฉันรับเงินรัฐบาล 600 บาทต่อเดือน อยากกลับมาทำงาน แค่นั้นเอง เพราะคิดว่ายังแข็งแรงอยู่ ทำอะไรก็ได้ หลายๆ อย่างเลย อาจงานที่ตัวเองถนัดอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ว่าจะงานพิธีกรหรือทำรายการ กับงานที่ตัวเองถนัดเรื่องการทำเครื่องสำอาง ก็อยากเปลี่ยนไปเป็นเรื่องสกินแคร์ จะนำเข้าจากอเมริกา เป็นของดิฉันเองหมดทุกอย่าง"
"(ถอนใจ) ปูนนี้จะมีมั้ยล่ะ ถ้าพูดถึงผู้ชายที่เข้ามาในชีวิตตอนนี้ก็น่าจะมี แต่ไม่แน่ใจว่าจะใช่มั้ย เราคบกันในฐานะคนรู้ใจ เขาห่วงใยเรา เราห่วงใยเขา ไม่เป็นดาราเท่าไหร่ใช่มั้ย ตอบแบบนี้ ห่วงใยซึ่งกันและกัน แต่จะไปถึงขั้นอย่างที่อยู่ด้วยกัน คงยังไม่ถึง เป็นความปรารถนาดีต่อกันมากกว่า สิ่งสำคัญที่สุดในอายุดิฉันคือกัลยาณมิตร เท่านั้นเอง"
ถ้าได้กลับมาทำงานเหมือนเดิม แล้วต้องโดนบูลลี่อีก ทั้งที่หยุดทุกอย่างไม่ตอบโต้ จะทำยังไง?
"เรื่องโดนบูลลี่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ เพราะเพิ่งเริ่มลงอินสตาแกรมกับเฟซบุ๊ก หลายคนก็บอกว่าให้ใช้ชีวิตแบบปกติ ก็ลองลงดู ก็ไม่ค่อยเจอเลย แทบไม่มีเลยที่จะมาบูลลี่อะไร ฉะนั้นถ้าสมมติว่าได้กลับไปแล้วจะมีการบูลลี่อีกมั้ย ดิฉันก็ไม่แน่ใจนะ ต่อให้มีก็คงทนทานได้แล้วล่ะ ก็คงชิน เพราะทุกอย่างไม่จีรัง ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลง เกิด ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นไม่ว่าอะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวมันก็ต้องผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่จีรัง แม้กระทั่งร่างกายเราเอง ถึงเวลานึงก็ต้องผ่านไป ซึ่งพอผ่านไปหลายๆ คนก็เพิ่งสำนึกได้ เออ นี่ไงล่ะ ทุกอย่างก็ไม่จีรังทั้งสิ้น"
อยากให้ฝากแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน และคนที่คิดถึงพี่ม้ามากเหลือเกิน?
"จริงๆ ต้องขอบพระคุณมากๆ ที่เป็นกำลังใจเยอะมาก แฟนๆ ดิฉันทั้งหลาย แม้กระทั่งคนที่อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ พระคุณเจ้า แม่ชี ที่พบเจอะเจอ ก็ให้กำลังใจสุดๆ ทุกวันนี้ไม่ใช่ไม่ร้องไห้นะ ดิฉันร้องไห้เสมอเมื่อเกิดความปิติ จากคนที่ให้กำลังใจ ล่าสุดแม่ชีนั่งอยู่ในร้านแล้วมาให้กำลังใจ ดิฉันปิติขึ้นมา น้ำตาพรั่งพรูหยุดไม่ได้ ก็ต้องขอบพระคุณมากๆ ดิฉันเริ่มเล่นไอจี เฟซบุ๊กก็มีคนให้กำลังใจมาก อยากให้กลับมา สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ดิฉันกลับมาได้หรือไม่ได้ ไม่ได้อยู่ที่ตัวดิฉัน ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดิฉัน หรือคนทำงานในวงการพิธีกร มันคืออาชีพที่ต้องรอให้เขาเรียก ถ้าเขาไม่เรียกก็คงกลับไปไม่ได้ ถ้าเขาเรียกเราก็คงได้กลับไป และต้องอยู่ให้พร้อม มีคุณค่าพอที่จะให้เขาเรียกกลับไปมั้ย แค่นั้นเอง"
"บางทีเราก็เคยว่า แต่เราเป็นผู้ใหญ่ว่าเด็ก ในภาพการเป็นเดอะสตาร์ที่ดิฉันคอมเมนต์สุดฤทธิ์สุดเดชว่าอะไรคือสิ่งไม่ดี แต่ก็แนะนำว่าสิ่งที่ดีต้องเป็นยังไงตามประสบการณ์ชีวิตเราที่ผ่านมาก่อน อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่บังคับกันไม่ได้ เป็นสิทธิส่วนบุคคล ถ้าเราจะว่าหรือพูด หรือทำอะไรก็แล้วแต่ มันน่าจะมีขอบเขตด้วยเหมือนกัน สิ่งหนึ่งตอนนี้เราน่าจะมีคุณธรรม จริยธรรมที่บางครั้งเราหลงลืมตรงนี้ไป เราสนุกกับมันมาก เราไม่ใส่ใจว่าเราจะทำร้ายจิตใจคนอื่นมากน้อยแค่ไหน ทุกคนคิดว่าดิฉันชอบด่าคนโน้นคนนี้ แต่ว่าในขณะที่ด่า ดิฉันก็เป็นการสอน นึกออกมั้ย แต่เป็นลักษณะการสอนแบบตรงไปตรงมา ไม่งั้นก็ไม่เข้าใจสักที พูดอ้อมๆ ไม่เข้าใจสักที ก็เลยพูดตรงๆ ไปเลย ก็เลยดูเหมือนคนร้าย แต่ว่าเป็นความหวังดีของผู้ใหญ่เท่านั้นเอง"
VVVV
V