สุรชัย เปิดตัวสาวสวย เล่าโมเมนต์ดีๆ ตกลงเธอเป็นใครกัน ?(คลิป)
มีลูกกี่คน ?
สุรชัย : ผมมีลูก 4 คน คนโตเป็นลูกชาย อีก 3 คนเป็นผู้หญิง เขาเป็นลูกคนเล็ก ช่วงที่เขาเกิดมาเรามีเวลาให้เขามากสุดก็เลยดูเหมือนสนิทสุด
คุณพ่อดุไหม ?
ดิ๊ง : จริงๆ อาจจะเห็นเขาไว้หนวดแบบนี้ ดูขรึมๆ หน่อย แต่จริงๆ แล้วคุณพ่อน่ารักมาก เฮฮา และไม่ดุเลย
สุรชัย : ไม่ใช่หรอก คือตอนเขาเด็กๆ เราไม่ค่อยมีเวลาให้เขาไง คือเราต้องไปร้องเพลง เดินสายเป็นเดือนๆ ความสนิทก็เลยน้อยลงไปนิดหนึ่ง และอีกอย่าง อย่างที่รู้ๆ อยู่ว่านักร้องลูกทุ่งไม่ค่อยอยากให้ใครรู้ว่ามีครอบครัวแล้ว ถามว่าผมบอกว่าเมื่อครอบครัวเมื่อไหร่ คือไม่ต้องบอกหรอกเขารู้กันเอง
ดิ๊งค์ติดพ่อขนาดไหน ?
ดิ๊ง : ดิ๊งติด เราสนิทกับพ่อด้วย คือเรามีความชอบเหมือนกัน เราทานอาหารเหมือนกัน เสาร์อาทิตย์เราก็จะไปดูหนังกัน ถามว่าสนิทกับพ่อมากกว่าแม่ไหม คือต้องดูก่อนว่าคุยกับคุณพ่อเรื่องไหน คืออาจจะคุยกับคุณพ่อเรื่องแอคทิวิตี้ ส่วนคุณแม่ก็จะคุยเรื่องเรียนเรื่องงานเสียส่วนใหญ่ ถามว่าคุยกับใครมากกว่ากันดิ๊งว่าคุยพอๆ กันแหละ แต่ด้วยความที่เราเป็นลูกสาวเราก็จะคุยกับคุณแม่บ้าง
สุรชัย : คือปฏิเสธนางไม่ได้เลย ก็ต้องดูว่านางอยากจะได้อะไร แต่เขาก็ไม่ค่อยรบกวนอะไรเราเพียงแต่ว่าถ้าพี่เขาอยากจะได้อะไรก็จะรบกวนให้เขามาบอก
ดิ๊ง : หนูจะเป็นทางผ่านของพี่ๆ คืออาจจะเป็นเพราะเราสนิทกับคุณพ่อ เราเจอคุณพ่อบ่อยกว่า
เลี้ยงลูกอย่างไรได้ข่าวว่าไม่เคยตีลูกเลย ?
สุรชัย : ผมเคยตีคนโตตีแค่ครั้งเดียวด้วยหวี คือเขาไม่ยอมทำการบ้านเราก็ตีเขาด้วยหวีจนฟันหวีมันหักหมดเลย ลูกก็ร้องไห้ ส่วนผมไม่ได้ร้อง
เห็นว่ามีลูกคนหนึ่งทานยาลดความอ้วนเยอะมาก ?
สุรชัย: เป็นลูกสาวอีกคนหนึ่ง คือช่วงนั้นที่เราเจอว่าเขาติดยากลดความอ้วนเพราะเขาเปลี่ยนไป จากที่เคยสนุกสนาน ก็จะเป็นคนที่มีโลกส่วนตัวเยอะ คืออารมณ์เขาจะเปลี่ยนไป ตอนแรกคิดว่าติดยาเสพติด พอไปค้นก็เลยเจอคลังยาลดความอ้วน เราก็เลยไปขอร้องเขา โชคดีที่เขาสามารถเลิกได้ คือเขาก็มีอาการหลอนบ้างแต่เรากู้ทัน แต่ถ้าเราปล่อยไปอีกสักระยะก็จะแย่เหมือนกัน แต่ที่เราโกรธก็คือทำไมหมอถึงได้ขายยาให้กับเด็กที่อยู่ชั้น ม.4 ม.5
สุรชัย : ก็ช่วยกันดูแล ก็ประคบประหงมกันเกือบปี ส่วนดิ๊งจะเป็นฝ่ายฟ้องเวลาเขาไปซื้อยาถ่าย คือเราก็เป็นห่วง อย่างลูกของเพื่อนเขาก็กู้ไม่กลับ คือเขาจะเอ๋อๆ ไปเลย ก็อยากจะบอกเป็นอุธาหรณ์ให้กับทุกๆๆ คน ว่าเราอาจจะรู้สึกว่าลูกเราโอเค แต่เขาอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็อยากจะฝากบอกคุณหมอด้วยว่า ถ้าเด็กๆ ไม่มีวุฒิภาวะในการไปหาหมอเอง ก็ควรจะให้ผู้ใหญ่เข้าไปดูด้วย คือบางทีเด็กๆ คิดว่าเขาเอาอยู่ มันแค่ยาลดความอ้วน ไม่เป็นไร เขาแข็งแรง คือบางคนก็บาดเจ็บกับเรื่องนี้มาเยอะ บางคนก็อาจจะเสียชีวิต
อาจจะดูเป็นคนใจดี แต่จริงๆ แล้วเป็นคนเข้มงวดกับลูกๆ เรื่องร้องเพลงมาก ...
สุรชัย : ตัวผมเองก้าวเข้ามาเป็นนักร้องด้วยความไม่รู้ตัว คือตอนแรกจะให้พี่ชายเข้ามาเป็น แต่เมื่อพี่ชายเขาไม่ชอบ แล้วเรารู้สึกว่าบ้านเราพ่อเรามีชื่อเสียง สืบทอดงานเพลงมา ผมก็ถามแม่ว่าทำไมเราถึงไม่ตั้งวงดนตรี แม่ก็ถามผมว่าแล้วใครจะร้อง เราก็บอกว่าก็ให้พี่ชายร้องไง แต่พี่ชายก็บ่นว่าแกไม่รู้หรอกว่าการร้องเพลงเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ไปร้องเพลงแล้วจะมีคนมาชอบ มันไม่ใช่ง่ายๆ มันต้องนอนกลางดิน กินกลางทราย เพราะสมัยก่อนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว มันไม่ได้สะดวกสบายแบบนี้ เวลาไปไหนต้องเดินทางด้วยรถบัสเมล์แดง มันไม่มีแอร์บัส คือเราก็รู้สึกว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ ก็เลยบอกพี่ไปว่าถ้ายูไม่ร้องไอร้องก็ได้ คือคือตอนนั้นเราทำเพลงไว้หมดเรียบร้อยแล้ว แต่เราเป็นคนทำหน้าที่คนดูแลไม่ได้เป็นคนร้องเพลง เราก็ไปหาเพลงให้พี่ชาตรี ศรีชล แต่งเพลงคือแต่งเพลงให้แม่ด้วย ให้พี่ชายด้วย เพื่อจะทำวงดนตรีขึ้นมา นอกจากนี้ผมก็ไปตามสถานีวิทยุ ไปจัดเพลงวิทยุ คือเราก็ไปทำหน้าที่เหมือนที่พ่อเคยทำ สุดท้ายก็บอกพ่อว่าถ้าพี่ไม่ร้องผมจะร้องเองละกัน คนมิกซ์เสียงก็ส่ายหน้าเพราะเราร้องเพลงไม่เป็น คือร้องได้แต่ร้องเพี้ยน
สุรชัย : ผมก็ไม่มีครูหรอก เราก็ฝึกโดยการฟังเพลงพ่อเยอะๆ คือสมัยนั้นทรานซิสเตอร์หาเปิดฟังยากมาก เทปคาสเซ็ตก็ราคาแพง ไม่มีปัญหาซื้อ
ดิ๊ง : พ่อสอนดิ๊งแบบนี้เหมือนกันคือฟังเยอะๆ ช่วงแรกๆ เราไม่เข้าใจ คือเราฟังก็รู้สึกเพลงก็เหมือนเดิม แต่พอเราฟังไปเรื่อยๆ เวลามันทำให้เราพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เราก็มาถามพ่อว่าเสียงต้องเกาะเขาแบบนี้ใช่ไหม เราต้องฟังแบบใคร เราต้องฟังแบบนักร้องคนไหน
พ่อดังมากดิ๊งกดดันไหม ?
ดิ๊ง : กดดันมากไม่ว่าจะทำอาชีพอะไร ร้องเพลงหรือใดๆ ก็ตาม คือเรามีคำว่าสมบัติเจริญพ่วงท้าย เรามีความกดดันค่อนข้างสูง แต่บนความกดดันเราจะมีกำลังที่เราเจอ เขาจะพูดถึงพ่อของเรา คุณปู่เรา คือเราดีใจแทนคุณพ่อด้วยซ้ำที่มีแต่คนรัก มีแต่คนพูดถึง ส่วนตัวหนูเอง หนูก็ภูมิใจนะ คือเวลาตอนที่หนูไปโรงเรียน ทุกวันตอนเช้าหนูจะไปแกะแบงก์ ซึ่งเป็นแบงก์จากมาลัยที่พ่อไปร้องเพลงเมื่อคืน คือเราก็ภูมิใจที่เราได้ใช้ตังค์จากเหงื่อพ่อ เป็นตังค์ที่พ่อไปร้องเพลงมา คือเราก็แฮปปี้
ดิ๊ง : ช่วงนั้นเป็นเดือนสิงหาคม เป็นช่วงโควิดกำลังเข้มๆ คือเราเพิ่งเรียนจบโทมา 2 ใบ แล้วเราก็ทำงานด้วย แล้วเศรษฐกิจเป็นช่วงขาลง เราก็เครียดๆ ว่าเราจะไปไหนดี ทำไมเราเหมือนเป็ดจัง เราร้องเพลงก็ไม่ดีเท่าพ่อ เราทำงานก็ไม่ประสบความสำเร็จ เราก็ไปคุยกับแม่ว่าเราอยากทำให้ใจนิ่ง คือเราเชื่อว่าถ้าเราใจนิ่งหนูน่าจะคิดอะไรออก ก็เลือกไปวัดแทนที่จะไปทะเลหรือไปโน่นไปนี่ เพราะพ่อจะสอนให้เราสวดมนต์ตลอด เราก็เลยคิดว่าเราไปพักสักนิดก็ดี เรื่องบวชดิ๊งบอกพ่อก่อนวันบวชแค่วันเดียวเอง คือดิ๊งไปบวช 7 วัน ส่วนคุณพ่อเพิ่งวันท้ายๆ เรารู้สึกว่าเราอยากทำให้สุด
พอลูกสาวปลงผมบวช เรารู้สึกอย่างไร ?
สุรชัย ผมก็บอกเขาว่าไม่ต้องถึงขนาดนี้ก็ได้ คือเราแค่ถือศีลธรรมดา แต่เขาบอกว่าเขาอยากทำอะไรให้สุดๆ พอเขาไปบวชเราก็รู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน คือเรื่องโชคชะตา ถ้ามันตกสุดๆ
ดิ๊ง : เราก็กินข้าวกับเกลือ นอนบนหิน คือมันทำให้เราคิดได้ว่าเราควรคิดเรื่องเรียนอย่างไร เรื่องงานอย่างไร คือเราได้ทบทวนตัวเองแม้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แค่ 7 วันแต่มันก็ทำให้เรารู้อะไรได้หลายอย่าง มันคุ้มมากจริงๆ หนูบอกกับแม่ว่า ถ้าไม่ติดงานหนูอยากจะอยู่ต่อ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะกลับไป หลังบวช 7 วัน กลับมาเรารู้สึกว่าตัวเองนิ่ง พอเรานิ่งเรารู้สึกว่างานเกิด โปรเจกต์เกิด เดินหน้าต่อมีสติ คือมันชัดเจนขึ้น ความรู้สึกลังเลและไม่กล้า ตรงนั้นมันหายไปแล้ว มันทำให้เราเด็ดขาดมากขึ้น