เปิดชีวิตหมดเปลือกของ แอน จักพงษ์ พร้อมเคลียร์ทุกดราม่า
"สั้นๆ เนอะ ก็พลาด ต้องบอกว่าเราพลาด ก็กราบขออภัยคุณผู้ชมอีกครั้ง และต้นสังกัดทีวีไฟว์ ทุกคนทำหน้าที่ดีหมดแล้ว ไม่ว่าจะรายการ พิธีกร แต่เราก็เป็นที่รู้กัน เวลาเรานั่ง บางครั้งก็มีสคริปต์ บางครั้งก็ไม่มีสคริปต์ จนกลายเป็นไม่มีสคริปต์ไป เวลาถามก็ต้องเบรกให้เป็น ทำให้เป็น อันนี้ต้องฝึก และต้องรู้ด้วยจิตสำนึกว่าเราพลาด เอามาเป็นครู เป็นบทเรียน เจตนาไม่มี เพราะเราทำธุรกิจ ไม่มีเหตุผลต้องนั่งทำร้ายตัวเองหรือทำร้ายใครที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน ไม่มีความจำเป็นตรงจุดนี้ สิ่งที่แอนควรทำบนเวที เมื่อเขาพูดชื่อเราไม่ควรคอนเฟิร์ม ขอให้หยุด อนุญาต ไม่พาดพิงถึงบุคคลที่สาม อะไรก็แล้วแต่ที่มันเกินเลย เราต้องหยุด"
"แอนไลฟ์สดขอโทษไปแล้ว เป็นเรื่องที่เรารู้สึกผิดจริงๆ เราต้องขึ้นมารับผิดชอบต่อสังคม ทางต้นสังกัดก็เป็นคู่ค้ากันดี ไม่มีเจตนาจริงๆ ต้องโทรศัพท์ไปคุยกับซีโอคือคุณเจน มันคือความรับผิดชอบของคนที่มีสามัญสำนึกที่ควรต้องทำ ความพลาดนี่เป็นครั้งแรกของแอน เป็นบทเรียนล้ำค่า ต้องยอมรับ เรียนรู้และเติบโตกันมัน มันสด และเคสนี้เกิดขึ้นครั้งแรกกับเรา เราเรียนรู้ด้วยหัวใจ ไม่มีเจตนาเลย"
"การเรียนรู้ เอามาสะท้อนตัวเอง กราบขอบพระคุณคุณผู้ชม และคนคอมเมนต์ เป็นกระจกส่องตัวเรา เป็นเรื่องที่ดีนะคะ เขาจะตำหนิมากน้อยแอนรู้สึกว่าเราสมควรถูกตำหนิ ให้เขาตำหนิมา แล้วเราปรับปรุงตัว แต่บางคนอาจโกรธมากโกรธน้อย บางคนอาจไม่ได้ดูแต่เขียนมากไปหรือเปล่า เราไม่ได้ลงลึกและถือสาตรงนั้น ก็ขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันคอมเมนต์เข้ามา เราชอบให้คอมเมนต์ อยู่บนพื้นฐานเหตุและผล วิเคราะห์ก่อนมาวิจารณ์ เราผิด ต้องไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นอีก ทุกรายการที่ไป เป็นหัวข้อให้พาไปโชว์บ้าน ดูเครื่องเพชร กระเป๋า รถ แฟน โชว์โน่นนี่ แต่ขอหยุด คนชอบดู เรตติ้งที่ดีคือใช่ แต่พอเราโชว์กลายเป็นอวด เราทำไปเรื่อยๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา เวลาเราออกสื่อเยอะๆ กลายเป็นภาพที่คนฝังลงไปว่าจะอะไรนักหนา ทำไมโชว์เยอะจัง เวลาผลประกอบการบริษัทมันดี ก็บอกว่าอวดอีกแล้ว ทั้งที่มันเป็นเรื่องธุรกิจเฉยๆ เราต้องรีพอร์ตต่อตลาด และพูดให้ทุกคนฟังว่ามันคืออะไร แต่เวลาประชาชนอ่าน ก็รู้สึกเข้าไปอีกว่าทำไมอวดโน่น อวยนี่จังเลย มันไม่ได้เป็นอะไรที่เราตั้งใจ"
อวดยังไงคนก็อยากดู พื้นฐานคนเป็นแบบนั้น เพียงแต่ลักษณะของคนไทยอาจชอบบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน?
"ใช่ เราก็ต้องเรียนรู้ เดี๋ยวจะกลายเป็นโชว์ออฟโน่นนั่นนี่ ทำให้คนเกิดความรู้สึกเกลียดชังได้ ไม่ชอบ หมั่นไส้"
รวยก็อย่าพูดเยอะ?
"เราเข้าใจ เวลามีฟีดแบ็กมาแบบนี้ เราช้อบชอบ แอนเรียนรู้จริงๆ นะ เราหยุดเรียนรู้ไม่ได้"
"เป็นคนชอบพลีสคนเกินไป ต่อไปจะหยุดพวกเธอ ห้ามพาดพิงบุคคลที่สาม เรื่องบนเตียง เรื่องผู้ชาย ขออนุญาต เดี๋ยวมันเกินเลย เพราะอยู่บนจอ เราก็ต้องพูดแบบนี้ ต่อไปโปรดิวเซอร์มาถ้าเกี่ยวกับวัตถุนิยม ถ้ามีก็ขอให้เหมาะสมได้มั้ย เดี๋ยวคนจะเข้าใจผิดได้ ขอสร้างแรงบันดาลใจให้คนดีกว่า ทำให้เราปรับทิศทาง ว่านี่คือสิ่งที่เราจะมุ่งไป"
มีคอมเมนต์ไหนอ่านแล้วจี๊ดมาก รับไม่ได้?
"ไม่ได้อ่านคอมเมนต์เลย ทีมงานการตลาดคัดขึ้นมา เขาก็ดูแลหัวใจ เราต้องเข้าไปส่องเอง แต่บอกเลย เราเข้าใจเขา ทุกคนที่เขียน โดยเฉพาะผู้หญิงด้วยกันเอง เราไม่โกรธ"
มีบล็อกมั้ย?
"มี ทีมงานการตลาดทำให้เรา ทีมงานไอที ใช้คำหยาบคายเกินกรอบคำหยาบคาย ไม่ได้มาด้วยเหตุผล บางคนอ่านดูก็ทำตามๆ กัน บางคนอคติอย่างเดียวค่ะ"
บางคนก็ป่วย?
"มาเลย เขียนมาเป็นยืดยาวเลย อะไรก็ไม่รู้ ด่าส่งนี่เรารู้สึกว่ามันเกินไป"
หลังจากขอโทษ ฟีดแบ็กเป็นยังไงบ้าง?
"ก็ดีขึ้น แต่ยังไงก็แล้วแต่ เราจริงใจกับตัวเองที่สุดก่อน ฟีดแบ็กจะเป็นยังไงก็น้อมรับ เพราะมีคนที่ให้กำลังใจเข้ามา และบางท่านที่ตำหนิเหมือนเดิม ก็อาจต้องใช้เวลาในการทำให้เขารู้สึกคลายลง แต่ก็อยากเรียนว่าให้วิเคราะห์ก่อนวิจารณ์ เพราะอาจมีบางเรื่องแตกไปเรื่อยเปื่อย เรื่องนี้ดิฉันขอโทษจบไปแล้ว แต่ไปโยงเรื่องอื่น ด้วยความที่เขาอคติอะไรกับเราก็แล้วแต่ ซึ่งเขาไม่เคยเจอเราเลย ไม่ได้ทำอะไรเลย แต่มันก็มีบางคนเห็นใครดีไม่ได้เลย ก็กลายเป็นว่าพอเห็นเราวิวาทกับใคร มีช่องปุ๊บ ก็เอาแล้ว เวลาดีชื่นชมไม่มีหรอก มีช่องทางฉกปุ๊บก็เอามาปั่นเป็นกระแสให้คนทะเลาะกัน ให้เข้าใจผิด เกลียดชัง ซึ่งอันนี้ไม่แฟร์"
ให้คนส่วนใหญ่มาไม่ชอบเราไปด้วย?
"ไม่เกี่ยวกันเลย หลายคนก็ไม่ได้อ่านต้นตอด้วยซ้ำ ตรงนี้ไม่ขอพูดต่อแล้วกัน"
"แอนจบไปแล้ว เรื่องที่ไปรายการสดจบไปแล้ว ไม่มีอะไร ทุกคนก็ส่งคำให้กำลังใจ เราสัญญาว่าจะเฝ้ามองระวังให้ทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะตัวแอนเอง แต่คอนเทนต์แอนที่ไปทุกช่อง ที่เป็นลูกค้า เราก็ต้องช่วยดูทุกอย่าง ประสบการณ์เราเพิ่มมากขึ้น มันจบแล้ว ด้วยการที่เราออกมาขอโทษกับการกระทำ ที่เราเหยียบเกียร์แรงไปหน่อย ตรงนั้นเป็นรายการสด ต้องไม่เกิดขึ้นอีก เราต้องรู้จักควบคุมสถานการณ์กับพิธีกรและโปรดิวเซอร์ได้ เราเติบโตขึ้น เราเชี่ยวชาญขึ้น"
เริ่มจับธุรกิจขายคอนเทนต์ได้ยังไง?
"จริงๆ เป็นลูกชาย ตอน 5 ขวบ ชื่อกับเสียงไม่เปลี่ยน 5 ขวบอยู่ร้านวิดีโอแถวบางแค ฐานะปานกลาง นั่งรถเมล์ไปเรียนหนังสือ เราเติบโตมากับร้านวิดีโอ เราจะฟังเพลง ดูละคร ดูหนัง ภาพยนตร์ต่างประเทศ ฝรั่ง จีน เยอะมาก นั่งดูเป็นม้วนใหญ่ๆ จนเรามีโอกาสไปเรียนต่างประเทศ เราอยากเป็นภาษาอังกฤษจริงๆ เลยเลือกไปออสเตรเลีย มันถูกดี ค่าเงินถูกที่สุดในตอนนั้น เราก็เซฟเงิน ไปเป็นพนักงานปั๊มน้ำมัน เก็บตังค์เป็นแคชเชียร์ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ เพราะมันไม่พอ ป๋าส่งให้ส่วนหนึ่ง แต่เราก็ต้องไปเก็บตังค์ จาก 7 เหรียญขึ้นมาเป็น 13 เหรียญต่อชม. ทำไปเรื่อยๆ ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ตั้งแต่บ่ายสี่ ยันเที่ยงคืน ทำอยู่อย่างนี้ พอจบคอลเลจก็ขึ้นไปเรียนต่อ จบรัฐศาสตร์ พอกลับมาก็ทำงานที่บ้าน ตอนนั้นWalking With Dinosaurs พอดีเราดูบีบีซีทุกวัน ตอนอยู่ที่ออสเตรเลีย เพราะต้องทำตัวธีสิสของรัฐศาสตร์ ดูบีบีซี ซีเอ็นเอ็น ก็บอกว่าป๋า ตัวนี้มันดี มันไม่มีใครทำสารคดีในประเทศไทยเลยก็ติดต่อเขาไปที่ต่างประเทศ ตอนนั้นอายุ 21 เราก็บอกว่าเราสนใจเราร่างจดหมายแล้วส่งไป เราทำของเราเอง ไม่มีใครช่วย ไม่มีฝ่ายต่างประเทศ เอามาปุ๊บจะปั๊มเป็นวิดีโอขาย ก็คิดว่าเขาจะซื้อกัน แต่ไม่มีใครซื้อ เอามาแล้วต๊ายตาย ตกใจ และเสียเซลฟ์มาก ทำยังไงดี"
ตอนติดต่อไปเขาก็ให้เราด้วย?
"ซื้อเสร็จหมดแล้ว เอามาปั๊มแผ่นแล้ว ซื้อราคาถูกมาก ไม่กี่หมื่นต่อตอน แค่ 4 ตอน เราลงทุนไปปุ๊บ เราเป็นลิขสิทธิ์ 3 ปี แสนกว่าบาท นี่คือจุดเริ่มต้น แล้วมาปั๊มเป็นม้วนวิดีโอมาขาย ดีวีดียังไม่ทำเลยนะ แต่ขายไม่ได้เลย เพราะทุกคนเอาหนังใหญ่สหมงคล นนทนัน พวกนั้นหมด เราก็นอนไม่หลับ ไปเจอจอร์จ กับซาร่า ที่ขายเครื่องออกกำลังกาย (หัวเราะ) ทำยังไงดีน้อ มันมาตีหนึ่งตีสองก็จริง แต่เราดูทำไมมันขายแต่เครื่องออกกำลังกายทุกวัน แถมเป็นเครื่องเดิม ก็เลยโทรศัพท์ไป ติดต่อมาเก็ตติ้ง จนไปเจอเจ้าของ เราให้เขาดูแล้วบอกว่าเป็นวีดีโอแบบนี้ ลองขายบ้างได้มั้ย เป็นแพ็กเซ็ตสวยๆ ต้องย้ายตลาดให้ได้ เราคิดปรับเปลี่ยนตีลังกาเลย วิกฤตมักเป็นโอกาสของแอน เราเดินทางเส้นใหม่ มีโซลูชั่นที่ทำให้เราไฉไลกว่าเดิม เราก็หาหนทางออก และยอมรับความจริงอย่างจริงใจ ปรับเลย คิดเลย ไม่มีใครเอา นอกจากทีวีไดเร็ก"
"ได้ 1 ล้านชุด เหลือเงินประมาณ 10 ล้านตอนอายุ 21 หลังจากนั้นของผีมาเต็มเลย"
1 ล้านชุดแรกที่ขายได้เงินมา 10 ล้าน?
"หักหมดทุกอย่างแล้วเหลือ 10 ล้าน กลายเป็นว่าเราก็ทำต่อ แต่ของผีเยอะไปเรื่อยๆ 5 ปีถัดไปเหนื่อย ทำไม่ไหว ไปขายของตัวเองตามกระบะ ฉันไปมาหมดเลย เราก็คิดว่าถ้าของผีมันเยอะ ฉันเปลี่ยนมาขายคอนเทนต์ให้ทุกคนดีกว่า ฉันเลิกแผ่น คือล้างหมดเลย แล้วเริ่มขายคอนเทนต์กับอุตสาหกรรมเดียวกันก่อนคือโฮมวิดีโอ"
รายแรกที่ซื้อคอนเทนต์คุณแอนคือใคร?
"แมงป่อง แล้วก็มียูไนเต็ด ทุกเจ้า ซื้อหมด เราก็เดินทางอย่างเดียว สิ่งที่เราถนัดคือติดต่อต่างประเทศ การพูดภาษาอังกฤษ ไปเองทุกครั้งค่ะ คุยเองทุกรอบ นี่คือความเป็นเจ้าของธุรกิจต้องทำเอง ตอนนั้นยังเป็นผู้ชายอยู่ ทุกคนเรียกแอนดรูอยู่ พอเราบอกว่าต้องเป็นตัวเองก็ลาที่บ้าน ลาคุณแม่ ลาแบบไปเลยนะ เพราะคุณแม่รับไม่ได้ เราขออนุญาตเอาที่ดินที่ศาลายาปัจจุบัน เรามองเห็น 15 ไร่ว่าเราจะทำตึกทำงานตรงนี้ไปก่อน สร้างปั๊มทั้งสองฝั่ง เราเคยเป็นเด็กปั๊ม และเคยเป็นความฝันว่าวันนึงเรากลับมา ต้องทำให้ได้ เราก็สร้างสองฝั่ง มีสะพานลอยข้ามเชื่อม ตอนนี้กลายเป็นคอมมอลล์ ที่ชื่อรีเวอร์คิง ทุบปั๊มแล้วมาสุดทางนี้แทน มันก็เป็นโปรเจกต์ที่อยู่ในบริษัทมหาชน พอเราซื้อบริษัทกลับมา อีก 3 ปีก็เข้าตลาดหลักทรัพย์ พอดีทีวีดิจิทัลมันเกิดขึ้น 24 ช่อง มันเลยกลายเป็นว่าเราขายไม่หยุดเลย ในตู้เซฟ ถ้าเล่าให้ฟัง ธนาคารที่ดูแลเราตกใจ ทำไมเช็คล่วงหน้าลูกค้ามาเยอะขนาดนี้ เพราะแอนจะไม่ทำงานให้ ถ้าไม่มีเช็คล่วงหน้าวางไว้ ชัดเจนเลย เพราะฉันไปเอาของจากต่างประเทศมา สมัยนี้ไม่ทำแล้ว เงินสดอย่างเดียว แต่เมื่อก่อนอลุ่มอล่วย ปรากฎว่าธนาคารเห็นปุ๊บก็บอกว่าจำนวนเงินเยอะขนาดนี้ พาไปหาเอฟเอ อยากเข้าตลาดหลักทรัพย์มั้ย เราก็บอกว่าอยาก เพราะเราจะไปดักทางคอนเทนต์มาจำหน่ายต่อได้ในประเทศไทย เอามาหมดเลย ซูเปอร์แบรนด์จากทั่วโลก บริหารแต่เพียงผู้เดียว จัดส่งให้ทีวีดิจิทัล"
มีใครเป็นที่ปรึกษา?
"แอนกับน้องสาวสองคน เพราะคุณพ่อคุณแม่แยกทาง เราทำของเรามาเอง แอนทำมา 15 ปีแล้ว มันเชี่ยวชาญแล้ว และอายุไม่ได้น้อย"
"เยอะแยะมากมาย เจอมาไม่รู้กี่ครั้ง เคยถอดใจหลายครั้งมาก แล้วเราก็นั่งนิ่งๆ เพราะไม่อยากบอกน้องสาว เราย้ายออกมาจากบ้านเช่าหอพักเล็กๆ อยู่สองคน ตอนเริ่มต้นเลย เราก็มุ่งมั่น ขยันอดทนอย่างเดียว คิดว่าทุกอย่างต้องเป็นไปได้"
มุมนี้คนไม่ค่อยรู้ เพราะเห็นเราในวันประสบความสำเร็จแล้ว ลองยกตัวอย่างที่ท้อมากๆ จนเกือบไม่ไหวแล้ว?
"มีจ่ายเช็คมาหลายสิบล้านล่วงหน้า ซื้อโน่นซื้อนี่ ทำสัญญากันทั้งสองฝั่งเรียบร้อย เขามาแคนเซิลแล้วบอกว่าขออายัดเช็คทั้งหมด เพราะของที่อยู่ในสัญญาเขาไปซื้อเองที่ต่างประเทศได้แล้ว แอนเลยมักจะเฮิร์ตกับคนแทงข้างหลังเสมอๆ เพราะเจอตั้งแต่เด็ก เจอคนพูดอีกอย่างทำอีกอย่าง แอนทำงานกับใคร บอกได้เลย พาร์ทเนอร์สบายใจ เพราะแอนเป็นคนเปิดเผย ต้องไม่มีอีโก้ น้อมรับทุกอย่างในการทำงาน และที่สำคัญต้องกตัญญู เห็นแบบนี้บินไปต่างประเทศเลย ที่บอกว่าให้ลูกค้า แล้วลูกค้ามาแคนเซิลฉัน แลวอายัด นี่หักหน้านะ แอนต้องบอกว่าบางครั้งเราต้องเป็นอุมาเทวี แต่ถ้าเป็นมหากาลีก็ต้องทำ ต้องปราบ พอไปถึงที่ปุ๊บล่อเลยจ๊ะ จะฟ้อง มันถูกเก็บกดตลอดเวลากับคำว่าถูกบีบคั้น เราทำธุรกิจมาด้วยสมองและสองมือ คนก็มองว่าเจ๊แกพัฒนาไปเรื่อยๆ จากอาเจ็ก กลายเป็นอาเจ๊ เป็๋นความกล้าหาญที่ต้องเปิดตัวมั้ย ตอนแรกก็อายๆ คน มันรวมๆ กันหมด ทั้งเรื่องครอบครัว ถูกหักหลัง บางครั้งแอนคิดบวกไป เซย์โนไม่เป็น พอเซย์เยสปัญหามักจะเกิด"
วางอนาคตลูกไว้ยังไง?
"แล้วแต่เขา ให้การศึกษาที่ดีที่สุด เราต้องให้อิสระเขา ให้เขาอยู่กับแพซซั่น เป็นคนซัปพอร์ตเขา ไม่ใช่ทำตามสิ่งที่เราอยากให้เป็น หลายคนมองลูกคือทรัพย์สิน แต่เรามองเป็นสิ่งที่ล้ำค่าของเรา ให้เขามีความสุขกับสิ่งที่เขาทำ"
ถ้าลูกตัดสินใจข้ามเพศเหมือนกัน?
"จะพาไปทำให้เขาสวยเลย แม่สะสมประสบการณ์มาเยอะแล้ว (หัวเราะ) เราต้องเป็นแม่ให้เขาเติบโตมาเป็นผู้หญิงที่ดี"