เปิดหมดทุกวีรกรรมความเจ้าชู้ สมรักษ์ คำสิงห์ จากปากคุณภรรยา
สมรักษ์ : คือถ้าผมเล่าเดี๋ยวจะหาว่าผมโม้ (หัวเราะ) คือ ผมเป็นนักกีฬาเขต 4 จังหวัดขอนแก่น แล้วคุณอ้อย เขาก็เป็นนักกีฬาเขต 4 ขอนแก่นเหมือนกัน ส่วนผมชกมวย
คุณอ้อย : ตอนนั้นเป็นนักกีฬาบาสเกตบอลค่ะ
สมรักษ์ : ตอนนั้นเราก็นั่งรถบัสคันเดียวกันเพื่อที่จะไปแข่งที่อยุธยา แล้วเพื่อนกลุ่มนักมวยของผมก็บอกว่าคนนั้นหน้าตาดี (บอกว่าคุณอ้อยหน้าตาดี) เขาฟังซาวด์เบาท์อยู่ใครกล้าไปยืมบ้างก็ไม่มีใครกล้าเลย แล้วผมก็อาสาออกตัวว่าจะไปยืมให้(ตอนนั้นผมดังอยู่) เพราะว่าต่อยมวยไทยพิมพ์อรัญเล็ก ศิษย์อรัญก็ดังอยู่ แบบผมชกจนไม่มีคู่ชกเลย แต่ตอนที่เราบอกว่าเราจะไปยืมซาวด์เบาท์ของเขาให้คือ เรายังไม่เห็นหน้าตาเขานะครับ เห็นแต่ด้านหลังแต่ก็ใช้ได้แล้วแหละ (หัวเราะ) เราก็เดินไปสะกิดหลังเขาว่าขอยืมซาวด์เบาท์หน่อย แล้วเขาก็หันมาแบบเหล่สายตามองเราด้วยหางตา
คุณอ้อย : เราก็คิดว่าเธอเป็นใครมายืมของฉัน แล้วเราก็หันไปแล้วบอกว่าไม่ให้
สมรักษ์ : พอเขาไม่ให้เราก็เดินกลับมาบอกเพื่อนว่าเขาไม่ให้ แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราเสียหน้าหรืออะไรนะครับ เพราะว่าเราเป็นคนมองโลกในแง่ดีเพราะว่าคนเราต้องมีน้ำใจต่อกันเข้าใจไหม (หัวเราะ)
คุณอ้อย : พอจากตรงรถทัวร์จบแล้วก็ไปพักที่โรงแรมเดียวกัน แต่อยู่คนละตึก ซึ่งเราจะเห็นเขาทุกเช้าผ่านหน้าต่างเพราะว่าเขาจะกระโดดเชือกเพื่อลดน้ำหนักเราก็จำได้ว่าคนนี้ที่มาสะกิดยืมซาวด์เบาท์เรา เราก็มองธรรมดา แล้วมีวันหนึ่งเขาจะเดินไปทานข้าวแล้วเขาเห็นเรานั่งอยู่ เขาก็ถามว่ากินข้าวหรือเปล่า ไปทานข้าวกันไหม เราก็ส่ายหน้าไม่ไป ไปเถอะเราก็บอกเขาไปแบบนี้ แล้วพอเขาเดินเลยเราไปนิดนึงเราก็เรียกเขาเดี๋ยวๆเธอชื่ออะไร เราก็เลยถามแบบนี้
สมรักษ์ : แล้วผมก็หันมาช้า ๆแล้วบอกกับเขาว่าเราชื่อ บาส แล้วผมก็เดินไปเลย
คุณอ้อย : เราก็แบบว่าช็อกเลยพอได้ยินชื่อของเขาว่าเขาชื่อบาส เพราะว่าเรามีความใฝ่ฝันว่าอยากมีแฟนชื่อบาสค่ะ เพราะว่าเราชอบเล่นบาส ถึงขนาดที่เรามีความคิดว่าถ้าเราไม่มีแฟนชื่อนี้เราจะไม่มีแฟนเลย พอเราหายช็อกพอรู้ชื่อเขาเราก็รีบตะโกนเรียกเขาเลยว่าเธอๆ เดี๋ยวเราไปด้วยแล้วเราก็วิ่งลงจากอาคารแล้วก็ไปทานข้าวกับเขาเลย แล้วเวลาที่ไปทานข้าวเราก็นั่งมองหน้าเขาอย่างเดียวเลยค่ะ คือตอนนั้นเหมือนแบบจากซาตานเป็นเทพบุตรเลยค่ะ แล้วเราก็ไม่ได้คิดว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดี คิดแค่ว่าเราเจอแล้ว เราก็นั่งจ้องเขาแล้วเขาก็โม้ไปเรื่อย แล้วหลังจากนั้นเราก็เป็นฝ่ายที่ไปจีบเขาเลยค่ะ
เมื่อความรักทุกอย่างลงตัว แต่ก็ต้องมีเรื่องให้เสียใจเพราะว่าต้องสูญเสียลูกคนแรกไปช่วงที่ คุณสมรักษ์ ไปแข่งกีฬาโอลิมปิก
คุณอ้อย : คุณหมอก็มาแจ้งเราว่าคุณอ้อยๆ ลูกเสียแล้วนะ ลูกเสียในครรภ์ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะเสียเราก็ไม่ได้มีอาการอะไรเลยนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ก็เพิ่งไปตรวจคุณหมอก็ยังบอกว่าหัวใจของเขายังเต้นปกติแล้วก็มาเสีย พอรู้ว่าลูกไม่ได้อยู่กับเราแล้วตอนนั้นเราเสียใจมาก แล้วเขาก็ไม่อยู่ด้วยเราก็ร้องไห้ คุณหมอก็โทรไปบอกเขาที่อเมริกา
สมรักษ์ : พอผมทราบเรื่องก็ร้องไห้เดินไปร้องไห้ในห้องน้ำเลยทีมมวยเขาก็มาปลอบใจเราว่ากลับไหม แล้วผมก็เลยคิดว่าเออ เราต้องเอาเหรียญทองโอลิมปิกมาให้ได้เพราะว่าลูกเนี่ยเอาชีวิตแลกไปแล้ว เพราะถึงเรากลับมาลูกเราก็ไม่ฟื้น ต้องซ้อมเอาเหรียญทองแล้วพอได้เหรียญทองแล้วเราค่อยกลับมาดูแลเขา
เป็นวิธีคิดที่เอาความเสียใจมาเป็นพลังบวกให้ได้ แล้วในมุมของคุณอ้อย ล่ะ
คุณอ้อย : ในมุมของเราคือตอนนั้นเราอยู่คนเดียวเราจะทำอย่างไร เราก็น้อยใจ ไม่เข้าใจเพราะว่าเหตุการณ์อะไรต่างๆ กว่าเราจะมาเจอเหตุการณ์นี้มันผ่านมาเยอะ อย่างก่อนหน้านี้เขาไปบาร์เซโลนา เราก็รถยนตร์หายไปคันหนึ่งเหมือนว่ามันเป็นทุกขลาภแล้วค่อยมาได้เหรียญทองแต่ครั้งนี้มันเอาชีวิตแลกเลย
สมรักษ์ : การไปโอลิมปิกครั้งนั้นคือ ผมมั่นใจมากที่จะได้เหรียญเพราะว่าก่อนที่ผมจะได้คือ สั่งเสื้อไว้ก่อนเลยสั่งสกรีนเสื้อไว้เลย 100 ตัว แล้วบอกภรรยาว่าได้เหรียญทองกลับมาแน่นอน อยากได้อะไรไปดูไว้ อยากได้บ้าน อยากได้รถอะไรไปดูไว้
คุณอ้อย : เขาเคยโดนซื้อตัวจะให้ไปชกแชมป์โลกสากลอาชีพ ซื้อตัวเท่าไหร่เขาก็ไม่ไปเพราะเขาตั้งเป้าว่าเหรียญทองมวย โอลิมปิก ยังไม่มีใครได้เขาต้องเอามาให้ได้ ซึ่งเขาเป็นคนแบบนั้นจริงๆค่ะ เพราะเขาเป็นคนมุ่งมั่น และเขาตั้งใจทำเพื่อประเทศไทย
ซึ่งในวันนั้น คุณสมรักษ์ ก็ทำให้คนไทยทั้งประเทศมีความสุขและเป็นความสุขของคนไทยจริงๆ ในรอบที่ชกในวันนั้น ในความเสียใจของผู้หญิงคนหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียลูกไปในวันที่เขาชกตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เราเชียร์อยู่ที่นี่หรือว่าตามไปเชียร์ที่โน้น
คุณอ้อย : ก็เลยมีโอกาสเขาให้ไปเชียร์ เหมือนเขาให้รางวัลปลอบขวัญ ปลอบใจเราให้ไปเชียร์ที่อเมริกาพอได้เหรียญเลยได้คุยกันว่า พี่ได้เหรียญทอง พี่มีเงินแล้วนะ เขาบอกว่าถ้ากลับไปถึงเมืองไทยเขาจะจัดงานแต่งงานให้
แล้วพอมีชื่อเสียงก็จะมีคนเข้ามาถึงขนาดที่ว่ามีคนมาจ้างหย่า 2 ล้าน เขากล้ามาจ้างหย่าเลยเหรอ
คุณอ้อย : เขาน่าจะจ้างคุณสมรักษ์ เราก็บอกว่า 2 ล้านบาทไม่พอหรอกเพราะมูลค่าเขามากกว่านั้น เพราะถ้าคุณเอาเขาไปคุณคุ้ม เราก็บอกเขาไปว่าสัก 10 ล้านบาทได้อยู่นะ เพราะตอนนั้นน่าจะประมาณปี 40 ได้ค่ะ
คุณอ้อย : ใช่ค่ะ เพราะว่าเขาพูดเยอะค่ะ พวกผู้หญิงพวกนั้นมันขึ้นอยู่กับผู้ชาย ถ้าเราถามว่าคุณอย่างไร ถ้าเขายังเลือกเราอยู่เราจะมีความมั่นใจที่จะไปตอบโต้เพราะว่าเราอย่าไปคิดเลยว่าเราจะเลิกกัน แต่ถ้าเราคิดว่าจะเลิกแล้วเราจะไปอยู่คนเดียวเราเลิก แต่ถ้าเลิกกันแล้วเราคิดอยากจะแต่งงานใหม่ เราอย่าเลิกดีกว่าเพราะว่าเราไม่รู้ว่าผู้ชายที่เราจะไปเจออีกเขาจะดีหรือไม่ดีอะไรอย่างนี้ค่ะ แล้วอีกอย่างเขาเป็นพ่อของลูกเรามองว่าให้เขาอยู่กับลูกเรา คือ เป็นพ่อของลูกเรามันอบอุ่นดีอยู่แล้วเราไม่ต้องไปดิ้นรนอะไรเลย เพียงแต่ว่าเวลาที่เขาออกนอกลู่นอกทางเราก็ตบๆ เข้ามาเพราะว่ามันก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว แล้วเราก็บอกเขาว่าต่อให้เลิกกันยังไง หรือต่อให้เธอย้ายเอาของออกไปจากบ้านอะไรที่เป็นสมบัติของเธอมันมีอยู่ชิ้นเดียวคือ ทะเบียนสมรส แล้วอยากจะไปมีเมียใหม่ไปมีเลย แต่ทะเบียนสมรสฉันกอดไว้มันคือความสะใจของคนที่เป็นเมียหลวง เพราะคนที่เป็นเมียน้อยมันอยากได้อย่างเดียวเลยคือ ทะเบียนสมรส
สมรักษ์ : เป็นครอบครัวนักกีฬาคือ ต้องรู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย (หัวเราะ) ฟังไว้นะครับ อันนี้หลายครอบครัวบางทีมีปัญหานี่เอาอย่างภรรยาของผม รู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย ดีมากคือครอบครัวอยู่ยาว
คุณอ้อย : ใช่ค่ะ เขาอาจจะเป็นสามีที่ดีไม่ได้ แต่เขาเป็นพ่อที่ดีของลูกมากๆ ถามว่าตอนนี้หยุดเจ้าชู้หรือยัง ตอนนี้เบสบอกว่าแม่ไม่ต้องเดี๋ยวเบสจัดการเอง
สมรักษ์ : ผมก็อยู่ของผมเฉยๆ ผมก็ไม่เคยปิดบังว่าผมมีครอบครัว
คุณอ้อย : แต่จริงๆนะคะ คือต่อให้ตอนนั้นที่เขาไม่หยุดผู้หญิงทุกคนก็อยากเป็นหนึ่ง คนที่เป็นเมียน้อยก็อยากเป็นเมียหลวงถูกไหมคะ ตอนนั้นต้องบอกว่าทะเบียนสมรสอันเดียวเลยค่ะ คือมันจะกำราบพวกคนพวกนี้ไปเพราะเราอย่าหย่าต่อให้เขาอยากเลิกกับเราแค่ไหนเราก็อย่าหย่าเพราะมันคือว่า สะใจ ค่ะ
จริงๆ แล้วเรื่องสถาบันครอบครัวมันก็จะมีเรื่องอันนี้อยู่เยอะมากในขณะที่ คุณอ้อย เองก็คือคนหนึ่งเลยที่ต้องใช้ความหนักแน่นเยอะมาก และต้องใช้สติเยอะมาก อยากให้เป็นข้อคิดกับหลายๆคนที่อาจจะดูอยู่แล้วกำลังมีปัญหาสามีออกนอกลู่นอกทางแล้วเราต้องพยายามดึงกลับมาให้อยู่ในเส้นทางเราต้องตั้งสติยังไงบ้าง
คุณอ้อย : เราก็ฟูมฟายเหมือนกันนะคะ เราก็สาดเสียเทเสียเหมือนกันแต่เรากับเขาก็มาคุยกัน ถ้าเขายังอยู่กับเราหมายถึงว่า เขายังเลือกอยู่กับเรา เราก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว เราก็ดึงเขาให้กลับมา แต่กลับมาในที่นี่คือกลับมาหมดเลยนะคะ เพราะทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเราแล้ว พอจะดึงเขากลับมาเนี่ยอันดับแรกเราต้องตั้งสติแล้วก็อย่างี่เง่า แล้วก็อย่าเอาผู้หญิงคนนั้นมาเปรียบเทียบเพราะผู้หญิงพวกนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเท่ากับเราเลย แล้วเราก็มองว่าสามีเราต้องการอะไร แล้วเราก็ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างไรเพื่อที่จะให้เขากลับมาอยู่กับเรา (แต่เราไม่ได้มีความคิดว่าเขายังอยากอยู่กับเขาไหมนะคะ ในตอนนั้นไม่มีความคิดตรงนั้นเลย ไม่มีคำว่าอยากหรือไม่อยาก แต่ว่ารักลูก) แล้วพอเขากลับมาแล้วพออะไรมันดีขึ้น ความคิดอยากอยู่มันจะมาเอง
สมรักษ์ : ครอบครัวของผมอบอุ่นอยู่แล้ว ครอบครัวอบอุ่นคือ ป้องกันได้ทุกอย่างนะครับ เพราะว่าการเลี้ยงลูกตั้งแต่เล็กจนโตผมก็ใส่ใจเต็มที่แล้วถือว่าอบอุ่นครอบครัวไม่มีพูดหยาบ ไม่มีทะเลาะกัน เพราะเวลาที่เราทะเลาะกันลูกก็ไม่เคยเห็นมีปัญหาก็เข้าห้องเถียงกันก็จบ
คุณอ้อย : ส่วนคนที่ดุที่สุดในบ้านคือ คุณพ่อค่ะ ลูกจะเชื่อฟังเขามากกว่าค่ะ
มาจนถึงวันนี้ก็น่าจะพูดได้ว่าที่ต้องบอกเลยว่าเป็นคุณพ่อ คุณแม่ที่มีความสุขเหลือเกินเพราะว่าคุณลูกถือว่าประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วมาก แล้วก็คือคนที่ย้อนกลับมาดูแลคุณพ่อคุณแม่อย่างเต็มที่มากๆ เลยเช่นกันทั้งน้องเบส และ น้องโบ๊ท ทั้งสองคนเลยรู้สึกยังไงบ้างกับลูกที่เขาสามารถดูแลเราได้
สมรักษ์ : ภูมิใจมากแล้วผมยังเชื่อมั่นว่าเพราะเราทำความดีไว้เยอะ แล้วความดีที่เราทำขอให้ส่งไปให้ลูก เรื่องจริงไม่ได้โม้ เป็นอย่างไรลูกผมตอนนี้ทั้งน่ารัก ทั้งเก่ง ทั้งสวย ตอนนี้ก็ลุ้นเกียรตินิยมอันดับหนึ่งยังเหลืออีก 1 เทอมครับ คือไม่ว่าจะเป็นลูกชาย ลูกสาวนะครับ ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆ เลยครับ