เปิดประวัติ โรเบิร์ต สายควัน จากตลกขี้ยาสู่ซุปตาร์แห่งโลกโซเชียล
จากเด็กสลัม ไม่ได้เรียนหนังสือ ทำงานเป็นกระเป๋ารถสองเเถว พาชีวิตตัวเองสู่โรงลิเก ก่อนก้าวขึ้นไปเป็นตลกคาเฟ่ จนกระทั่งติดยาเสพติดขั้นรุนเเรงเเทบเอาชีวิตไม่รอด
วันนี้เขากลับมาเฉิดฉายอีกครั้งในชื่อ "โรเบิร์ต สายควัน" ดาวตลกที่เรียกเสียงหัวเราะได้ไม่เป็นสองรองใคร
โรเบิร์ต สายควัน หรือ หมั่ง-ไพรฑูตย์ พุ่มรัตน์ เกิดเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 เป็นชาวกรุงเทพมหานครตั้งแต่กำเนิด และใครจะรู้ว่า เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกันซะด้วย
"ผมมีคุณพ่อเป็นคนอเมริกันผิวดำ พูดง่ายๆ อารมณ์ประมาณ บารัก โอบามา แหละครับ"
ชีวิตวัยเด็กของโรเบิร์ตค่อนข้างลำบาก ฐานะยากจน อาศัยอยู่กับคุณยายที่มีอาชีพเป็นหมอนวดแผนไทยและน้องสาวในชุมชนแออัด ย่านบางเขนไม่ได้เรียนหนังสือและวนเวียนอยู่กับแหล่งอบายมุขมาตั้งแต่เยาว์วัย
"แม่ไปอยู่อเมริกา ส่วนเราอยู่กับยายและน้องสาว ช่วยกันทำหน้าที่เดินหาลูกค้าให้ยายตามห้องเช่าอพาร์ทเม้นท์ต่างๆ‘นวดไหมครับ นวดไหม' ห้องไหนนวดก็คอยบอกยาย บางทีก็โดนด่าบ้าง เพราะคนที่เราไปเคาะส่วนใหญ่เป็นพวกทำงานกลางคืน กลางวันเขาจะนอน เราไปเคาะ ออกมานวดบ้าง ออกมาด่าบ้างก็มี"
อายุได้ 12 ปี เขาหารายได้ให้ตัวเองด้วยการทำงานเป็นพนักงานเก็บค่าโดยสารให้กับรถสองแถว เส้นทางสะพานใหม่-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิที่นั่นโรเบิร์ตได้เจอกับเพื่อนซี้ที่เติบโตกลายมาเป็นตลกระดับตำนานอย่าง "หนู คลองเตย"
"สมัยตอนเด็กลำบากนะ แต่ด้วยความเป็นเด็กเลยไม่ได้ใส่ใจ หนักไปทางเที่ยวเล่นซะมากกว่า ส่วนใหญ่อยู่แต่นอกบ้าน ทำงานเป็นกระเป๋ารถ และได้เจอกับไอ้หนู (คลองเตย) สนิทกันมาตั้งแต่ตอนนั้น ช่วงดังๆ มันให้รถฮอนด้า พรีลูด ผมฟรีๆ เลย 20 ปีก่อนใครขับพรีลูดไม่ธรรมดานะ"
เส้นทางศิลปินตลกของผู้ชายคนนี้เริ่มต้นในคณะลิเก เมื่อได้รับโอกาสจากน้าสาวที่มีสามีเป็นเจ้าของโรงลิเก "บุญชู แสงเพชร" โดยทำหน้าที่เล่นเครื่องดนตรีอย่างระนาด และกลอง ก่อนพัฒนาตัวเองขึ้นไปเป็นนักแสดง รับบทบาทตัวโจ๊ก เรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม
"นอกจากเป็นตัวโจ๊กแล้วก็ได้นางเอกลิเกเป็นเมียด้วยสมัยนั้นนางเอกลิเกมักจะเสร็จโจ๊ก เหมือนพี่โน๊ต เชิญยิ้มก็ได้เมียเป็นนางเอกลิเก" ตลกมากประสบการณ์ยิ้มให้กับเรื่องในวันวาน
"คนเขาขาด เลยเรียกให้เราขึ้นไปเล่น เราก็เล่นได้ พี่ชาเห็นแวว เลยชวนให้ไปอยู่กับเขาเลย ได้ค่าตัววันละ 300-400 บาท ถือว่าเยอะมากสมัยนั้นก๋วยเตี๋ยวชามละประมาณ 10 บาทเอง เล่นทุกวันเดือนหนึ่งก็ได้เกือบหมื่น"
หลังจากโดดเด่นอยู่กับ "คณะมันจะฮา" ที่ตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบิ๊กแชมป์ เพราะถูกแขกแซวบ่อยว่า "แล้วที่มึงเล่นมันจะฮาหรอวะ" ไม่นานก็ถูก "ดี๋ ดอกมะดัน" หรือ "ศุภกรณ์ ศรีสวัสดิ์" อีกหนึ่งดาวตลกระดับตำนานของเมืองไทยชวนไปอยู่ด้วยที่คณะดอกมะดัน
"จุดเด่นของเราเป็นตัวดิ้น ชอบเล่นมุขเกี่ยวกับวัยรุ่น เพลง เต้นเลียนแบบศิลปินดังๆ ในยุคนั้น อย่างติ๊กชีโร่ เพลงไหนดังก็เอามาก๊อปปี้เล่นในรูปแบบตลก เล่นไปเล่นมา อ.ดี๋ชอบ วันไหนนักแสดงไม่พอ เขาก็ให้เราไปร่วมแจม แจมได้อยู่สองครั้ง แกเลยชวนไปอยู่ด้วยกัน"
"อ.ดี๋เป็นคนตั้งชื่อโรเบิร์ตให้กับเราด้วย วันนั้นบนเวที เราแต่งชุดไทยราชปะแตนเดินถือระนาดออกมา ตามมุขจะต้องเล่นเพลงสตริงสากล แกก็เลยเรียกผมว่า ขอเชิญหลวงโรเบิร์ตมาตีระนาดโชว์ อะไรประมาณนั้น เลยใช้ชื่อโรเบิร์ตมาตลอด"
ศิลปินตลกบางคนเมื่อรุ่งโรจน์ ร่ำรวย มีเงินทอง ก็มักหลงระเริงหมดไปกับการสังสรรค์ ผู้หญิง และการพนัน แต่ไม่ใช่กับ โรเบิร์ต สายควัน
"ชีวิตตอนนั้น เริ่มมีเงินแล้ว ได้วันละเป็นพัน แต่ไม่ใช่คนติดเที่ยวติดหรู ด้วยความที่มาจากสลัม มีเงินแล้วยังอยู่กันง่ายๆ เหมือนเดิม แต่เรามีเพื่อนฝูงที่เคยสูบกัญชามาตั้งแต่เป็นเด็กวัยรุ่นด้วยกัน แล้วเราอยู่ใกล้แหล่งซื้อด้วย ก็จะเป็นคนไปจัดการมาให้พวกเขาเรียบร้อยเลย แต่คนอื่นสูบเล่นๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่เราไม่ เราเอาเป็นทางการเลย สูบหนักมาก คนอื่นเลิกงานก็จะไปกินเหล้า สังสรรค์จีบนักร้อง แต่เราไม่ เลิกงานกลับบ้านเลยไปสูบกัญชา หรือยังไม่กลับก็จะไปนั่งร่วมกลุ่มกับเพื่อนที่สูบด้วยกัน"
ยาเสพติดนำพาชีวิตการทำงานของเจ้าตัวดิ่งลงเหว เริ่มตื่นไม่ไหว ทำงานสายอย่างบ่อยครั้ง จนดี๋ ดอกมะดัน ต้องสั่งพักงาน อย่างไรก็ตามนาทีนั้น เขาไม่แยแสคำตักเตือนจากใคร และไม่มีอะไรมาฉุดรั้งเส้นทางอบายมุขของเขาได้
"ใครบอกก็ไม่เชื่อ แฟนเอือมระอาบอกเลิกก็ไม่หยุด ใครเล่นอะไร เอาหมด กัญชา ยาม้า ยาบ้า คบเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ พัฒนาไปถึงผงขาว หนักเข้าๆ ก็เริ่มฉีดเฮโรอีนเข้าเส้น หยุดทำงานไปขลุกอยู่กับยา นอนได้หมดทุกที่ ป้ายรถเมล์ หน้าห้างสรรพสินค้า ใช้ชีวิตอยู่กับก๊วน ไม่อยู่กับพวกศิลปินตลกเงินหมดค่อยไปอาศัยหาเอาตามหน้าคาเฟ่ มาหาพวกตลกด้วยกัน บอก ‘เออ..กูแย่เว้ยขอตังค์หน่อย' เขาให้ปุ๊บเรากลับเลย ไปซื้อมาเสพต่อ หมดก็กลับมาหาใหม่"
อาการเสพติดของโรเบิร์ตนั้นรุนแรงมาก ถึงขั้นหัวหน้าคณะอย่าง "ดี๋ ดอกมะดัน" ทนไม่ไหว แจ้งเพื่อนที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจมาจับลูกน้องตัวเองเข้าคุกเพื่อให้ห่างไกลจากสิ่งเสพติดซะ
"ตำรวจมาจับปุ๊ป ผมแอ็คเลย ‘เฮ้ยพี่ผมอยู่กับพี่ดี๋นะ' เขาบอก ‘กูเนี่ยเพื่อนดี๋ มันให้มาจับมึงอ่ะ' เขาเห็นว่าถ้าปล่อยเราไว้ต่อไปจะตายเอา จับไปอยู่ข้างใน 3 วันบ้าง 5 วันบ้าง ขังไว้แล้วแต่อารมณ์"
ยังไม่ได้ผล โรเบิร์ตยังคงเดินหน้าต่อไปตามเส้นทางนรก ซ้ำร้ายกว่านั้นยังเริ่มก่อเหตุตระเวนลักทรัพย์สินผู้อื่น เพื่อนำไปแลกซื้อยาเสพติด
เวลาเกือบ4 ปีที่จมปรักอยู่กับยาเสพติดอย่างรุนแรง กระทั่งร่างกายทรุดโทรม ลุกขึ้นเดินเองไม่ไหว จึงเริ่มตั้งสติคิดได้ ตัดสินใจเข้ารับการบำบัดที่ค่ายธนะรัชต์ ศูนย์การทหารราบ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์
"เสพมานานเป็น 10 ปีหนักๆ เลยคือช่วง 3-4 ปีหลัง ตอนนั้นอายุเราประมาณ 30 ปี เดินพเนจรเสพเลยพอถึงวันหนึ่งรู้สึกไม่ไหวเริ่มคิดได้ อายลูก แต่มันเลิกด้วยตัวเองไม่ได้ เพราะมันลึกแล้ว เลยตัดสินใจว่าจะไปรักษาที่ปราณบุรีผมไม่มีเงิน แต่โชคดีมากจังหวะนั้นโบกแท็กซี่เจอขับเป็นรุ่นเดียวกัน จำได้ว่าเราเป็นตลก บอก อ้าวเฮ้ยพี่ ผมชอบพี่นะ แต่ทำไมสภาพพี่แย่ขนาดนี้ เราก็เล่าให้ฟัง และบอกว่ากำลังจะไปเลิกยา แต่พี่ไม่มีเงิน ต้องไปเก็บปลายทางเอากับน้องสาวที่หัวหิน รับรองว่า ถ้าพาไปพี่ไม่โกงหรอก แต่ถ้าไม่พาไปพี่ตายแน่ๆ"
แท็กซี่หนุ่มใจดี ไปส่งถึงที่แถมยังปฎิเสธค่าโดยสาร และคิดเพียงแค่ค่าน้ำมันเท่านั้น
"ไม่เอาหรอกพี่ แค่ค่าน้ำมันพอ พี่เลิกได้ก็เป็นกุศลของผมแล้ว" โรเบิร์ตนึกถึงประโยคอันตราตรึงที่ได้รับ
หลังใช้เวลาบำบัดรักษาตัวภายใต้การดูแลจากแพทย์เป็นเวลา 3 เดือนหนุ่มลูกครึ่งไทย-อเมริกัน รายนี้หย่าขาดจากยาเสพติดได้สำเร็จ และตัดสินใจกลับมาเมืองหลวงขอ "ดี๋ ดอกมะดัน" กลับเข้าสู่วงการตลกอีกครั้ง
โรเบิร์ต เล่าว่า ชีวิตมีความสุขมากได้รับโอกาสดีๆ มากมาย ถึงขนาดเป็นพิธีกรรายการเวทีไทสัญจร ร่วมงานกับ เป้า-สายัณห์ สัญญา แอ๊ว-ยอดรัก สลักใจ แจ็ค-ธนพล สัมมาพรต และ สุนารี ราชสีมาสำหรับคณะตลกได้ย้ายได้ไปอยู่กับ หนู คลองเตย ก่อนจะออกมาตั้งคณะเพชรเกล้า ร่วมกับ หน่อย เชิญยิ้ม กระรอก เชิญยิ้ม ชีวิตการทำงานถึงแม้จะเป็นช่วงบั้นปลายของคาเฟ่ แต่ก็นับว่ายังเป็นชีวิตที่ดีมาก
อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาฉุดรั้งเส้นทางความรุ่งโรจน์ของเจ้าตัวอีกรอบก็คือ "เหล้า"ที่เล่นเอาเจ็บป่วยนอนติดเตียงอยู่บ้านนับปี
"ยาไม่ยุ่งแล้ว แต่เริ่มกินเหล้าเข้าสังคม สนุกสนาน ไม่หลับไม่นอน กินทุกวัน กินถึงเช้า ถึงสายเลยก็มี นั่งอยู่ตามร้านอาหารโซนพระราม 9 นี่แหละกินจนเขากลับหมดเราก็ยังอยู่พนักงานมาทำงานตอนเช้าแล้วเราก็ยังกินอยู่เลย ทีนี้ร่างกายมันเริ่มทรุด กินหนักบวกกับที่เคยเล่นยามาก่อน ข้างในมันไม่ไหว น็อกเลย ป่วยไปปีกว่า ถึงขนาดต้องพกถังออกซิเจนไว้ที่บ้าน คุณหมอบอกภายในคุณพังหมดแล้ว จากยามาเหล้า รับไม่ไหว ทั้ง ตับ ไต ปอด ใช้งานมาหนัก"
ช่วงนั้นพรรคพวกศิลปินในวงการตลกผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาเยี่ยมเยียน นั่งคุยเป็นเพื่อน ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก คล้ายกับสั่งลา คิดว่าถึงใกล้หมดเวลาของเขาแล้ว เนื่องจากสภาพร่างกายไม่ไหว หายใจเองลำบาก กินไม่ลง น้ำหนักลดฮวบฮาบ อย่างไรก็ตามท้ายสุด เจ้าตัวตัดสินใจฮึดสู้ขึ้นมา ดูแลตัวเองใหม่จนอาการดีขึ้นเป็นลำดับ และกลับมาทำงานได้อีกครั้ง
"พอป่วยนานเข้า มันเหมือนเราไม่กลัวตายอีกแล้ว ยิ่งคนบอกจะตายๆ ใจเรามันกลับฮึดสู้ ลุกขึ้นมา และหายเป็นปกติได้ในที่สุด" โรเบิร์ตเล่าถึงช่วงเวลาอันเลวร้าย
โรเบิร์ตกลับสู่เส้นทางแห่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง โดยรอบนี้ถูกชักชวนจาก บอล เชิญยิ้ม ตลกรุ่นน้องให้มาร่วมทีมในวงดนตรีลักษณะร้อนเต้นเล่นตลก ที่เล่นกันตามผับบาร์ และสถานที่อื่นๆ ตามแต่ถูกว่าจ้าง กระทั่งมาโด่งดังเฉิดฉายในโลกโซเซียลมีเดีย ผ่านรายการ "บริษัทฮาไม่จำกัด"
"ตอนเล่นบริษัทฮาใหม่ๆ ยังหาตัวเองไม่เจอ จนไอ้บอลชอบอำเรื่องยา คำศัพท์ต่างๆเช่น กลิ่น ฟอยล์ ขวด ควัน แล้วนอกรอบโปรดิวเซอร์ก็ชอบมานั่งคุยเรื่องอดีตเก่าๆ กับเราด้วย ทีนี้บทที่เขียนออกมามันเลยอิน และมีไปคาบเกี่ยวกับเรื่องยาเสพติดบ้าง ซึ่งไปๆ มาๆ ในโซเชียลดันชอบ"
อย่างไรก็ดีเจ้าตัวบอกว่า หลังจากเล่นมุขสองแง่สองง่ามที่อาจส่อไปถึงเรื่องสิ่งเสพติด ก็จะปิดท้ายทุกครั้ง ถึงข้อคิดและคอยตักเตือนผู้ชมว่าอย่าไปยุ่งกับมัน
สิ่งที่ทำให้ทุกคนชอบรายการบริษัทฮาไม่จำกัด ซึ่งมีผู้ติดตามและดูย้อนหลังในแต่ละคลิปจำนวนหลายแสนครั้ง นั้นเป็นเพราะความสด เป็นธรรมชาติ มีมุขที่ทันสมัย และสอดคล้องเข้ากับสถานการณ์ ปัจจุบันได้ดีนั่นเอง
"โปรดิวเซอร์เขามีเพียงเส้นเรื่องมาให้ แล้วทุกอย่างใส่กันสดๆ เลย ปล่อยให้พวกเราเล่นไปเรื่อย เหมือนนั่งคุยหยอกกันเอง ซึ่งแบบนี้คนดูเดาทางไม่ได้ มันสนุก"
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกโซเชียลมีเดีย และการแข่งขันที่รุนแรงในวงการบันเทิง โรเบิร์ตมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาตัวเอง โดยเริ่มจากทำการบ้านศึกษาความเคลื่อนไหวและกระแสในสังค เพื่อนำเสนอมุขตลกที่สอดคล้องและเชื่อมโยงกับผู้ชมให้ได้มากที่สุด
เขา บอกว่า ผู้ชมทุกวันนี้พัฒนาขึ้นมาก โดยเฉพาะวงดนตรีและกลุ่มเด็กวัยรุ่นที่หลายคนเรียกเสียงหัวเราะได้ดีกว่าตลกตัวจริงเสียอีก ฉะนั้นคนในวงการต้องพัฒนาคุณภาพเพื่อให้อยู่รอดและเป็นที่ยอมรับให้ได้
"ไม่ใช่เอามุขเมื่อ 20 ปีก่อนมาเล่น มันเหมือนย่ำอยู่กับที่อย่างผมพยายามทำการบ้าน หาเรื่องมาเล่นกับคนยุคนี้ เรื่องที่สอดคล้องและมีความเชื่อมโยงกับคนรุ่นใหม่ ติดตามดูข่าวสารความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นและกำลังได้รับความนิยมในสังคม เล่นตามเหตุการณ์เล่นให้เกี่ยวและมีความเชื่อมโยงกับผู้ชม"
"เราเอาสิ่งที่เราเคยผ่านมามาเล่นเป็นมุข แล้วสอนน้องๆ ดีใจที่มีโอกาสถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเองเพื่อให้เกิดเป็นบทเรียนแก่ผู้อื่น บอกพิษภัยของยาเสพติดที่ทำให้เราสูญเสียทุกอย่างไปทั้งร่างกาย สมองและคนรอบข้าง"
ในวัย 52 ปี ตลกมากประสบการณ์ขอบคุณกระแสความชื่นชม โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นที่ทำให้ตัวเองยังคงมุ่งมั่น กระหายที่จะสร้างเสียงหัวเราะและความประทับใจให้แก่ผู้ชมต่อไป