ปม “ลุงชัย ตายแล้วฟื้น” หมอปลาฟันธง อีก 4 วันเสียชีวิตแน่
รายการโหนกระแสวันนี้ คุยกันกรณี "ลุงชัย" ตายแล้วฟื้น ชาว จ.กำแพงเพชร ที่เหมือนกับเสียชีวิตไปแล้ว แต่กลับฟื้นขึ้นมา และมีอาการประหลาดมากมายจนญาติกลัว และเชิญหมอปลามาทำพิธี
วัชรา ลูกสาวของลุงชัยเล่าว่า พ่อมีโรคประจำตัวหลายอย่าง เป็นวัณโรคปอด ปอดเป็นฝ้าทั้งสองข้าง ไม่ยอมทานยา และมีอาการค่าตับสูง ดื่มเหล้าเป็นครั้งคราว วันที่พ่อเสีย ตนกลับไปเจอพ่อนอนนิ่งไปแล้ว ไม่หายใจแล้วเป็นชั่วโมง ญาติพี่น้องเอาเสื้อผ้า เอาเงินมาใส่มือ ลูกหลานเข้ามากราบขออโหสิกรรมกันแล้ว พอลูกสาวไปถึงไปกอดพ่อ ร้องไห้ เขย่าๆ ตัว ปรากฏว่าพ่อก็เฮือกขึ้นมา เหมือนฟื้นคืนสติ แต่ยังไม่ลืมตาขึ้นมาวัชราถามพ่อว่า พ่อไปไหนมา พ่อบอกว่าไปเจอเพื่อนชื่อเขียว ไปเจอน้า ซึ่งทุกคนที่พ่อพูดถึงเป็นคนที่เสียชีวิตไปแล้วทั้งหมด ตอนที่พ่อไปเจอเขียว เขียวกำลังกินเหล้าหน้าบ้าน พ่อขอดื่มด้วยแต่เขียวไม่ให้ หันหลังให้ ส่วนน้าปิดประตูหนีหน้าเลย พ่อก็เลยเดินกลับบ้าน ซึ่งตอนที่พ่อนิมิตเห็นคนที่ตายไปแล้วนั้น พ่อบอกว่าไม่เจ็บไม่ปวดเลย แต่พอรู้สึกตัวขึ้นมา ก็กลับมาเจ็บปวดอีก
ภายหลังที่เกิดเหตุการณ์ตายแล้วฟื้น ญาติของลุงชัย ที่มาเฝ้าดูแลอาการอยู่ตลอดเวลาทุกวันทุกคืนด้วยความเป็นห่วง กลับต้องเจอกับเหตุการณ์ประหลาดหลายอย่างเกี่ยวกับเจ้าตัว จนเป็นที่หวาดผวากันในหมู่ญาติ และคนในครอบครัว ทั้งจากที่ป่วยกระเสาะกระแสะกลับอาการดีขึ้นจนน่าแปลกใจ ก่อนนี้ไม่ยอมกินข้าวปลาอาหาร และบางครั้งกลางคืนจะเกิดเหตุการณ์ประหลาดบ่อยครั้ง เช่น เห็นดวงไฟประหลาดพุ่งเข้ามาในบ้าน แล้วก็หายวับไปกับตา
ลุงชัยมีอาการร้องไห้ฟูมฟาย บางครั้งก็นอนร้องเพลงคนเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้ลุงไม่เคยร้องเพลงเลย ญาติเห็นลุงลุกไปเข้าห้องน้ำเองกลางดึก ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ ญาติจะต้องเป็นคนพาไป ไม่สามารถลุกเดินเองได้ เจ้าตัวยังดื่มสุราตลอด ดื่มเป็นขวดๆ ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่เมา แล้วยังสูบบุหรี่วันละเป็นซองๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ดื่มหรือสูบเยอะขนาดนี้ ที่สำคัญคือไม่กินข้าวเลย
ขณะที่ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี พร้อมทีมงาน ได้เดินทางไปที่บ้านลุงชัย เล่าว่า เพียงแค่ผ่านป่ามันก่อนถึงหน้าบ้านก็มีอาการเวียนหัวและอาเจียนออกมา รับรู้ได้เลยว่า มีวิญญาณสัมภเวสีอยู่ที่บริเวณบ้านอย่างแน่นอน และเมื่อยิ่งเดินเข้าไปใกล้ลุงคนดังกล่าวเท่าไหร่ หมอปลาก็ยิ่งมีอาการหนักกว่าเดิม
จากนั้นหมอปลาจึงได้เดินสำรวจบริเวณรอบบ้าน เพื่อจะหาว่าสัมภเวสีอยู่จุดใดก็หาไม่เจอ จึงเดินกลับเข้ามาหาลุงอีกครั้ง โดยลุงก็ร้องไห้ออกมา พร้อมพูดจาวกไปวนมาชี้หน้าชี้หน้าหมอปลาตาเขม็ง ถามว่าเป็นใครก็ไม่ยอมตอบ หมอปลาจึงเดินออกไปสำรวจรอบบ้านอีกครั้ง จนกระทั่งพบว่าบริเวณหลังเล้าไก่ หลังบ้านมีจอมปลวกขนาดใหญ่อยู่ 1 จุด มีตอไม้ไผ่ปักอยู่ 1 ลำ ลักษณะถูกตัดออกไป ปลายไม้ไผ่โผล่จากจอมปลวกประมาณ 50 ซม. ซึ่งหมอปลาบอกว่ามีลักษณะคล้ายปักธูปรอไว้แล้ว ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้เกิดเรื่องราวลี้ลับกับคุณลุง
หมอปลาต้องการสื่อสารกับดวงวิญญาณจึงได้ให้ผู้หญิงอายุระหว่าง 20-30 ปี ให้มาสื่อสารบริเวณดังกล่าว ปรากฏว่าหญิงสาวก็สัมผัสบริเวณดังกล่าว ว่ามีสัมภเวสีอยู่จริง จากนั้นก็ได้กลับไปหาลุงในบ้านอีกครั้ง พบว่าลุงกลับมาอยู่ในอาการปกติแล้ว
หมอปลาก็พยามสื่อสารกับสัมภเวสีที่สิงร่างอยู่ ผ่านร่างเด็กหญิง 9 ขวบ ซึ่งหลังจากสื่อสารก็ทำให้เด็กหญิง 9 ขวบมีอาการแปลก เดินไม่ได้และร้องไห้ออกมา หมอปลาต้องทำพิธีช่วยจึงเดินได้ปกติ โดยหลังจากนั้นก็ได้นำลุงมานั่งอยู่บริเวณกลางแจ้งหน้าบ้าน โดยหมอปลาบอกว่า จะทำพิธีผูกวิญญาณให้กับลุง ซึ่งก็ขอให้ญาติทำใจว่าลุงจะอยู่ได้อีกแค่ 4 วัน โดยให้ลูกและเมียสั่งเสียลุง หากลุงต้องการดื่มเหล้าสูบบุหรี่ก็จะให้กินอย่างเต็มที่ โดยหลังจากนี้ลุงจะมีอาการง่วงนอน และจะกินอาหารมื้อใหญ่อีกแค่ครั้งเดียว เป็นมื้อสุดท้ายและก็จะเสียชีวิตอย่างสงบ
หมอปลาให้เหตุผลว่า หากตายแล้วฟื้น ช่วงระหว่างที่ร่างของลุงไม่มีวิญญาณก็จะมีสัมภเวสีเข้ามาแทรก ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งขณะนี้ร่างของลุงไม่ไหวแล้ว ต้องส่งวิญญาณของลุงไปอย่างสงบ หลังจากนั้นก็ได้ทำพิธี นำได้สายสิญจน์พันที่จอมปลวกและนำมาพันที่ศีรษะของลุง
ญาติของเด็กหญิง 9 ขวบ เล่าว่า สาเหตุที่พาน้องไปเจอหมอปลาที่บ้านลุงชัย เป็นเพราะน้องมีอาการแปลกๆ มักมีอาการกรีดร้องขึ้นมาเฉยๆ บางครั้งเดินๆ อยู่ก็หมดสติล้มตึงไปเอง เหมือนถูกผี ถูกวิญญาณมารังควาญ เด็กมักจะบอกว่าเห็นร่างคน 3 คนมาขอข้าวกิน บอกแม่บ่อยมากว่าหาข้าวให้เขากินหน่อย เขาหิว ก็เลยพาเด็กไปเจอหมอปลา หมอปลาจึงให้เด็กไปสื่อสารกับลุงชัย พอแยกกับหมอปลาที่บ้านลุงชัยแล้ว เด็กก็กลับมามีอาการอีก จนต้องพาเด็กไปไว้ที่วัด พระท่านบอกให้นอนที่วัด แล้วพระจะสวดมนต์ให้ฟัง ตอนนี้อาการเริ่มสงบ ไม่ค่อยมีอาการแล้ว
ขณะที่หมอหมู รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนิติเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เล่าว่า ในเคสของลุงชัย ที่ญาติ ไปตรวจสอบชีพจร เอามืออังดูลมหายใจ เป็นเรื่องที่ บางครั้งแม้แต่บุคลากรทางการแพทย์ก็ยังตรวจพลาด เพราะหลายๆ เคส หายใจแผ่วเบามาก ชีพจรเต้นเบามาก หัวใจเต้นช้ามาก ต้องใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ในการตรวจวัด การพิสูจน์การตาย จะฟันธงว่าใครตายไม่ตาย เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะหากไม่ตาย แล้วส่งร่างไปฉีดฟอร์มาลีน หากไม่ตายก็จะตายแน่นอน
ส่วนเรื่องการที่เชื่อว่าตายแล้วฟื้น เป็นภาวะ Surge หรือ Terminal Lucidity หรือในภาษาไทยอาจจะแปลได้ว่า ภาวะแสงสุดท้าย เกิดขึ้นนานๆ ครั้ง มักพบในผู้ป่วยโรคร้ายแรง ที่ก่อนจะเสียชีวิต มักจะมีภาวะเหมือนแข็งแรงขึ้น ดูดีขึ้น หน้านวลขึ้น ซึ่งหากเกิดภาวะแบบนี้ควรรีบนำไปรักษา อาจจะยื้อชีวิตไปได้อีกยาวนานขึ้น แต่หากทิ้งไว้ โรคที่เป็นอยู่ก็ไม่ได้รักษา ก็อาจจะทำให้กลับมาทรุด และเสียชีวิตในที่สุด
ส่วนเคสน้อง 9 ขวบ ทราบจากญาติว่า น้องมีภาวะน้ำในสมองมากผิดปกติ ซึ่งไปเชื่อมโยงกับอาการต่างๆ ที่ญาติบอกว่าน้องเป็น แต่เรื่องการกรีดร้องอะไรต่างๆ ควรจะต้องพาน้องไปพบกับจิตแพทย์ เพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจ
ยิ่งเด็กไปประสบร่วมอยู่ในเหตุการณ์ของลุงชัย อาจจะเกิดภาวะ "อุปทาน" ซึ่งเกิดจากความเชื่อ ทั้งความเชื่อส่วนตัว ความเชื่อในสังคม ก็ต้องระมัดระวังในเรื่องนี้ แนะนำว่าให้ทางครอบครัวพาน้องไปพบแพทย์เพื่อหาคำตอบในทางการแพทย์ด้วย