พุทธศักราช 2540 ปีที่ประเทศไทยเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ผู้คนต่างสิ้นหวังกับอนาคตของตนเอง และในวิกฤตการณ์อันรุนแรงที่กำลังเริ่มถาโถมอยู่นั้น สังคมไทยกลับต้องเผชิญกับคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญที่สุดคดีหนึ่งกับฆาตกรเหี้ยมโหดที่สุดคนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของกรมตำรวจไทย
6 เมษายน 2540 หรือ 18 ปีมาแล้ว มีคนพบศพครอบครัวบุญทวี 5 ศพ ภายในบ้านหลังหนึ่งในอำเภอสิงหนคร จังหวัดสงขลา ทั้ง 5 ศพ ประกอบด้วยพ่อและลูกชาย 3 ถูกสังหารอย่างไร้ความปรานีด้วยการทำร้ายมัดมือมัดเท้า และลงมือแขวนคอทีละคนที่ราวบันได ส่วนผู้เป็นแม่ถูกทำร้ายจนเสียชีวิตบนเตียงนอนภายในห้อง สภาพที่เกิดเหตุสร้างความอกสั่นขวัญแขวนให้แก่ญาติพี่น้องและผู้คนทั้งสิงหนคร ตำรวจใช้เวลาสืบสวนสอบสวนนานเกือบหนึ่งเดือน ท่ามกลางความกดดันจากประชาชนทั่วประเทศที่ติดตามคดี
ไม่นานเบาะแสจากชาวบ้านในพื้นที่เริ่มชี้ทางให้เห็นเงาของคนที่คาดว่าเป็นฆาตกร 15 วันหลังเกิดเหตุเบาะแสนำมาซึ่งการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่คาดว่าจะเป็นฆาตกรฆ่าแขวนคอ เหตุการณ์เหมือนจะคลี่คลาย เมื่อดำเนินการสืบสวนไปเรื่อยๆ ก็ยังไม่ใช่ฆาตกรตัวจริง แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ได้พบกับชายชราคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ละแวกนั้น ซึ่งเขาเห็นวัยรุ่น 2 คน อยู่ที่บ้านของนายประภาส ก่อนจะเสียชีวิต
โชคชะตาเหมือนจะเข้าข้าง เมื่อญาติของนายประภาส ให้ข้อมูลว่าหนึ่งในทรัพย์สินที่หายไป คือพระเครื่องรุ่นที่นายประภาสและภรรยา ร่วมกันจัดสร้างและแจกจ่ายให้ชาวบ้าน ซึ่งพระของนายประภาสได้ไปอยู่ที่บ้านของพี่ชายของ "ศักดิ์ ปากรอ" และแล้วก็เข้าใกล้ตัวฆาตกรมากขึ้น เมื่อได้รับแจ้งจากตำรวจนายหนึ่ง สถานีตำรวจภูธร จ.ยะลา ว่าวัยรุ่นคนหนึ่ง มีพระเครื่องรุ่นดังกล่าว และอวดอ้างตัวเองว่าผู้ฆ่าครอบครัวบุญทวี และในที่สุดชื่อของนายเรืองศักดิ์ ทองกุล หรือ ศักดิ์ ปากรอ ก็ถูกเปิดเผย พร้อมค่าหัว 200,000 บาท
วันที่ 21 พฤษภาคม 2540 ตำรวจได้เข้าปิดล้อมบ้านพักของ "ศักดิ์ ปากรอ" แต่พบตัวยืนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ไม่ไกลนัก หนังจากนั้นตำรวจควบคุมตัว "ศักดิ์ ปากรอ" ไปแถลงการณ์จับกุมที่กรมตำรวจ โดยเขาอ้างเหตุผลว่า นายประภาสติดหนี้ตัวเองกว่าล้านบาท และอีกหนึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมลงมือ "สงกรานต์ แก้วอุบล" หรือ จ้อง โดนจับกุมที่ได้ที่ จ.สงขลา ซึ่งตลอดคืนก่อนทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตำรวจเค้นสอบปากคำจน "ศักดิ์ ปากรอ" ยอมสารภาพ แท้จริงแล้วไปปล้น เพราะเชื่อว่านายประภาสมีเงินล้านกว่าบาท แต่ที่ให้การไปก่อนหน้านี้คือกลอุบายเพื่ออำพรางคดีเท่านั้น
ในชั้นศาล "ศักดิ์ ปากรอ" สู้คดี และปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ พิพากษาประหารชีวิต ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ส่วนนายสงกรานต์รับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต
หลังถูกจองจำอยู่ในเรือนจำกลางบางขวาง ต่อมาย้ายมาอยู่ที่เรือนจำกลางสงขลา ระหว่างนั้น "ศักดิ์ ปากรอ" ได้รับการลดโทษเหลือ 13 ปี ในที่สุดเขาก็ได้รับอิสรภาพในปี 2552 หลังพ้นโทษได้เปลี่ยนชื่อเป็น "เนติราษฎร์ นพวงศ์" ใช้ชีวิตอยู่กับภรรยาที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา แต่แล้วชีวิตของเขาก็ปิดฉากลงอย่างกระทันหัน เมื่อเขาถูกมือปืนยิงเสียชีวิต ขณะกำลังจะออกจากบ้านพัก ปิดฉากชีวิตฆาตกร "ศักดิ์ ปากรอ" ในทันที
ท้ายที่สุดโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับทั้ง 5 ชีวิต คือประจักษ์พยานของความโหดร้ายที่คนกระทำกับคน และเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสังคมไทย เพียงแต่อยู่ในรูปแบบที่ต่างกันออกไปอย่างชะตากรรมของครอบครัวบุญทวี