ร้านบาร์เบอร์ซวย ให้ที่ซุก “แม่มณี” เผยคนมีสีสั่งคุ้มกะลาหัว – เหยื่อทำใจสูญเป็นล้าน ไม่ได้คืน (คลิป)

วันที่ 2 พ.ย. 62 ความคืบหน้าภายหลังเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ตำรวจควบคุมตัว แม่มณี หรือ นางสาสวันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือ เดียร์ อายุ 28 ปี และนายเมธี ชิณภา อายุ 20 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดอุดรธานี ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันให้กู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์

โดยผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ถูกจับกุมได้ที่ห้องเช่าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื่องจากก่อนหน้านั้นผู้เสียหายจำนวนมากถูกหลอกให้ร่วมลงทุนเงินออมในลักษณะแชร์ลูกโซ่ โดยอ้างว่าได้ผลตอบแทนสูงถึงร้อยละ 93 คิดเป็นมูลค่าความเสียหายมากถึง 100 ล้านบาท ส่วนผู้ต้องหาก็ยืนยันว่าตัวเองไม่ได้โกง แค่ยังไม่ได้จ่ายดอกเบี้ยใช้ลูกแชร์

ขณะที่อาคารที่เจ้าหน้าที่เข้าควบคุมตัวผู้ต้องหา ด้านล่างเปิดเป็นร้านตัดผมชายชื่อร้าน ป้าบาร์เบอร์ โดยนายชาญ (นามสมมติ) อายุ 62 ปี เพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันกับร้านตัดผม เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเช้าของวันนี้เวลาประมาณ 06.00 น. สังเกตเห็นตำรวจไม่ต่ำกว่า 10 คน พากันมาที่ร้านตัดผม ตอนนั้นตนเองก็คิดว่าทำไมตำรวจมาตัดผมหลายคน ซึ่งตำรวจก็บอกว่ามาตัดผม แต่หลังจากนั้นเวลา 10.00 น. ตำรวจก็ได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ออกมาจากด้านในร้านตัดผม

นายชาญเล่าต่อว่า ตนเองทำงานอยู่ที่หน้าบ้านทุกวัน สังเกตไปที่ร้านตัดผมดังกล่าวก็ไม่เห็นมีคนแปลกหน้าที่มีหน้าตาลักษณะคล้ายแม่มณี เห็นแต่ป้าเจ้าของร้านตัดผมและลูกค้าเป็นเด็กผู้ชาย วัยเรียน ที่มาตัดผมเท่านั้น

ด้านนายบอล (นามสมมติ) อายุ 15 ปี เยาวชนที่เคยมาใช้บริการตัดผมร้านดังกล่าว เล่าว่า นอกจากป้าเจ้าของร้านแล้ว ตนเองก็ยังสังเกตว่ามีคนแปลกหน้าอีก 3 คน คือผู้หญิง 1 คน และผู้ชาย 2 คน ที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่โซฟาด้านในสุดของร้านตัดผมดังกล่าว โดยผู้หญิงที่ตนเองเห็นนั้นมีอายุประมาณวัยกลางคน ตอนนั้นตนเองก็ไม่ได้คิดว่าเป็นแม่มณี คิดว่าเป็นลูกค้าที่มารอแฟนตัดผมเท่านั้น

ด้านนางจี้ (นามสมมติ) เจ้าของร้านตัดผมดังกล่าว ซึ่งเดินทางไปให้ปากคำที่ สภ. พลูตาหลวง โดยเจ้าตัวให้ข้อมูลว่าเมื่อวันที่ 30 ต.ค. ที่ผ่านมา มีญาติผู้ใหญ่ของตนเองที่ดำรงค์ตำแหน่งเป็นทหาร ได้โทรศัพท์มาหาตนเองว่าขอฝากน้อง 2 คน ไว้ที่ร้านสักประมาณ 2-3 วัน แล้วหลังจากนั้นจะมีคนมารับไป และสั่งห้ามว่าอย่าบอกใคร กระทั่งวันที่ 31 ต.ค. เวลาประมาณ 20.00 น. ญาติของตนก็ได้ขับรถกระบะมาส่งทั้งสองคนที่ร้านตัดผม ยอมรับว่าตอนนั้นตนเองค่อนข้างรู้สึกหนักใจมาก เพราะก็พอทราบมาว่าผู้ที่จะมาขออยู่กับตนเองนั้นคือแม่มณีและเเฟนหนุ่ม หนักใจถึงขนาดตอนที่ตัดผมให้ลูกค้าก็คิดฟุ้งซ่าน เพราะกลัวว่าเรื่องจะเข้าตัว แต่เนื่องจากญาติของตนเองคนนี้ถือว่ามีพระคุณ และรู้จักมานานกว่า 10 ปี ตนเองจึงได้ตัดสินใจช่วยเหลือ

ส่วนอีกสาเหตุที่ช่วยเหลือก็เพราะแม่มณีไม่ได้ฆ่าใครตาย ตอนที่แม่มณีมากบดานที่ร้านของตน ก็ได้พากันพักอาศัยและหลบซ่อนอยู่บนชั้น 2 ของร้าน และมีลงมาเข้าห้องน้ำที่ด้านหลังบ้านของชั้น 1 บ้าง แต่ยืนยันว่าทั้งแม่มณีและเเฟนไม่เคยลงมาปรากฏตัวให้ใครเห็นหน้าเลย สำหรับเมื่อเช้าตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาจับกุมแม่มณีและเเฟนหนุ่มนั้น ตนเองไม่อยู่ร้าน เนื่องจากออกไปซื้อของในตลาด ยืนยันว่าตนเองไม่รู้จักกับแม่มณีเป็นการส่วนตัว

ขณะที่เมื่อเวลา 15.00 น. ตำรวจพร้อมชุดทำงานคลี่คลายคดีควบคุมตัวทั้งคู่ขึ้นเครื่องบินตำรวจ เพื่อเดินทางไปสอบปากคำเพิ่มเติมที่ จ.อุดรธานี ซึ่งเป็นท้องที่รับแจ้งเหตุ

ต่อมาที่ห้องประชุม ภ.จว.อุดรธานี พล.ต.ท.เจริญวิทย์ ศรีวนิชย์ ผบช.ภ.4 ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า ความเสียหายของผู้เสียหายจาก 12 จังหวัดของพื้นที่ภาค 4 มีผู้เสียหาย 277 ราย มูลค่าเสียหาย 157 ล้านบาทเศษ โดย จ.อุดรธานี มีมากที่สุด ซึ่ง สภ.เมืองอุดรธานี รับคำร้องทุกข์ไว้ 232 ราย มูลค่าความเสียหาย 128 ล้านบาท ซึ่งตำรวจสืบสวน ภ.จว.อุดรธานี และ สภ.เมืองอุดรธานี ได้ขยายผลเพื่อหาผู้ร่วมขบวนการ เข้าตรวจค้นบ้านและอาคาร 6 จุด พบหลักฐานทรัพย์สิน อสังหาริมทรัพย์ เอกสาร ซึ่งจะได้ตรวจสอบ อายัด ทำการสืบสวนขยายผลต่อไป เบื้องต้นทราบว่าได้จดทะเบียนเพื่อทำธุรกิจ ทั้งที่จดแล้ว และอยู่ระหว่างดำเนินการ ทั้งน้ำปลาร้า, เครื่องสำอาง, อาหารเสริม, ร้านทอง และบางธุรกิจมีหลายสาขาโดยได้อายัดทั้งรถยนต์หรู บ้านพัก และเงินในบัญชีรวมมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 22.1 ล้านบาท ส่วนทองปลอมรับว่าซื้อมาจาก จ.ขอนแก่น ที่ซื้อเหมามาเป็นกิโล เพื่อมาสร้างภาพไลฟ์สดหลอกผู้เสียหาย

ส่วนความคืบหน้าการสอบปากคำผู้เสียหาย พนักงานสอบสวน สภ.เมืองอุดรธานี ได้สอบปากคำผู้เสียหายแล้วกว่า 200 ปาก ซึ่งวันจันทร์นี้ จะนำผู้ต้องหาฝากขังต่อศาล และคัดค้านการประกันตัว ส่วนสำนวนการสอบสวน ตอนนี้ DSI ได้ประสานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งให้รวบรวมคดีที่เกิดขึ้นในภาค 4 และภาคอื่น ๆ ทั่วประเทศ เพื่อรวบรวมส่งสำนวนให้ DSI ภายในวันที่ 16 พฤศจิกายน ซึ่งสำนวนทั้งหมดจะไปรวมกันที่ DSI ส่วนประเด็นที่ว่าจะมีใครเกี่ยวข้องหรืออยู่เบื้องหลัง คงจะต้องพิสูจน์ทราบทางเชิงลึก รวมถึงเส้นทางการเงิน ว่ามีใครอยู่เบื้องหลังหรือโดนต่อไปที่ไหนอย่างไรหรือไม่

พล.ต.ท.เจริญวิทย์ฯ กล่าวอีกว่า น.ส.วันทนีย์ยังให้การภาคเสธ ว่าไม่ได้มีเจตนาจะโกงผู้เสียหาย ส่วนจะว่ามีคนมีสีอยู่เบื้องหลัง และช่วยในการหลบหนี เรื่องนี้จะต้องมีการสืบสวนสอบสวนอีก หากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ คงไม่สามารถบอกได้ เพราะอยู่ในสำนวน

นอกจากนี้ กลุ่มผู้เสียหายชาว จ.นนทบุรี ประมาณ 20 คน ได้รวมตัวกันมาให้ข้อมูลกับทีมข่าวอมรินทร์ ทีวี โดยทั้งหมดบอกเล่าว่าตนเองพักอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน มักจะมานั่งตั้งวงพูดคุยกันอยู่เป็นประจำในช่วงเวลาที่ว่างและพอมีคนหนึ่งพบเห็นแชร์มณีในเฟซบุ๊ก ว่ามีการลงทุนแล้วได้จริง ก็มีการพูดกันจนทุกคนตัดสินใจว่าร่วมลงทุนไปด้วยกัน ก่อนมารู้ว่าโดนหลอก

โดยนายเอส (นามสมมติ) อายุ 54 ปี หนึ่งในผู้เสียหาย บอกว่า ปกติแล้วตนเองทำงานอยู่ที่ต่างประเทศ แต่ภรรยาอยู่ที่เมืองไทย ได้มีการร่วมลงทุนไปกับแชร์แม่มณีไปก่อนแล้วจำนวนกว่า 1.5 ล้านบาท ต่อมาตนเองบินกลับจากต่างประเทศก็นำเงินที่มีอยู่อีก 50,000 บาทมาแลกเป็นเงินไทย แล้วไปร่วมลงทุนกับแม่มณีเป็นครั้งแรก ก็พบว่าโดนหลอกเลย จากที่ก่อนหน้านั้นภรรยาก็ได้เงินคืนกลับมา ซึ่งตนก็ทำใจไว้บ้างแล้ว