พี่สาวนักโทษแหกคุกเผย น้องเปรยไว้ขอสู้ ไม่ตายในคุก อึ้งนักโทษมะกัน มีชื่อปลอมอื้อ (คลิป)
นายสมคิด น้อยเกิดมี อายุ 53 ปี รปภ.ของบริษัทดังกล่าว บอกว่า เมื่อช่วงเวลาประมานก่อน 4 โมงเย็นของเมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) มีชายไทย ผมสั้น ผิวสีคล้ำ อายุประมาณ 30 ปี ขับรถมาจอดทิ้งไว้ และลงจากรถเพียงลำพัง จากนั้นได้นำคีมตัดเหล็กที่อยู่กระบะหลังเข้าไปเก็บในตัวรถ จากนั้นมีหญิงชาวไทยรูปร่างคล้ายกับคนท้องผิวคล้ำ ขี่รถจยย. ฮอนด้าเวฟ สีแดง จำทะเบียนไม่ได้ มารับ และขี่ย้อนกลับไปทางด้านหลังบริษัท
เจ้าหน้าที่ชุดคลี่คลายคดีอีกชุดได้ออกติดตามผู้ร่วมขบวนการที่ให้การช่วยเหลือ 3 คนร้ายในการหลบหนี สามารถควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยได้ 2 คน ทราบชื่อคือ นายแม๊กซ์ และ น.ส.อร สองสามีภรรยา ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนในการก่อเหตุ โดยมีหน้าที่นำรถมาทิ้งไว้ในนิคม ขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบปากคำ ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
ทีมข่าวอมริทร์ทีวี ลงพื้นที่บ้านพักแห่งหนึ่งในพื้นที่ ม.1 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา เพื่อตรวจรถกระบะวีโก้ สีบรอนซ์ ทะเบียน ผค 6782 ชลบุรี โดยเป็นรถที่ต้องสงสัยอีกคัน ที่พาผู้ต้องหาหลบหนีออกมาจากศาลพัทยา โดยรถกระบะคันดังกล่าวเป็นรถของ นายมด ลูกชายเจ้าของบ้าน และเป็นเครือญาติกับภรรยาของนายหน่อย หนึ่งในผู้ต้องหา ได้สอบถามนางรุ่ง (นามสมมุติ) แม่เจ้าของรถ บอกว่า เมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ช่วงเช้าลูกชายเดินทางไปที่ศาลพัทยา เพื่อจะไปเยี่ยมนายหน่อย ตามประสาญาติ โดยขับรถกระบะวีโก้ของตัวเองไป จากนั้นลูกชายก็หายไปกับนางหนิง ภรรยาของนายหน่อย ส่วนลูกชายจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลบหนีของผู้ต้องหา รวมถึงจัดหาอาวุธเข้าไปให้กลุ่มผู้ต้องหา ตนไม่ทราบ เพราะไม่รู้ว่าลูกชาย เข้าไปเยี่ยมถึงจุดใด ที่ผ่านมาลูกชายสนิทกับนายหน่อย และชอบขับรถให้นายหน่อยนั่ง เนื่องจากนายหน่อยสุขภาพไม่ค่อยดี ขับรถไม่ค่อยไหว
ด้านนางหนู แม่ของนางหนิง ภรรยานายหน่อย ผู้ต้องหาที่กำลังหลบหนี บอกว่า เมื่อวานนี้นางหนิง ไปศาลพัทยาพร้อมกับนายมด เจ้าของรถกระบะวีโก้ หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับมาที่บ้านอีกเลย ซึ่งนางหนิงไม่ได้พูดหรือเล่าอะไรให้ตนฟัง ที่ผ่านมาเจ้าตัวไปเยี่ยมสามีตลอดจนมีข่าวออกมาตนก็ตกใจ พยายามติดต่อลูกสาวแต่ไม่สามารถติดต่อได้ และทราบข่าวว่าหากมีการต่อสู้เจ้าหน้าที่ตำรวจอาจจะจับตาย ซึ่งตนเครียดมาก และเป็นห่วงลูกสาวจนนอนไม่หลับ
จากนั้นทีมข่าวเดินทางไปที่บ้านหลังหนึ่งในจ.นนทบุรี ซึ่งเป็นบ้านของนายหน่อย ผู้ต้องหา ที่หลบหนีอยู่ ได้สอบถาม นางทองหล่อ นิลเทศ อายุ 63 ปี แม่ของนายหน่อย บอกทั้งน้ำตาว่า ตนรู้สึกเสียใจ ไม่คิดว่าลูกชายจะไปก่อเหตุเช่นนี้ ลูกชายเคยขึ้นศาลมาแล้ว 3 ครั้ง ลูกชายบอกกับตนว่า "ผมจะสู้ เพื่อกลับมาหาแม่ หาลูก แล้วจะกลับออกมาไวๆ เพราะไม่รู้ว่าพ่อแม่จะอยู่กับตัวเองได้นานอีกแค่ไหน" ในฐานะแม่อยากฝากถึงลูกชายว่า อยากให้มีการมอบตัวและอย่าขัดขืน เพราะกลัวว่าอาจจะถูกวิสามัญ ยังเชื่อว่าหากลูกชายให้ความร่วมมือเข้ามอบตัว อาจไม่ถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย ที่สำคัญทุกครั้งที่ลูกชายกลับมาหาที่บ้าน ก็จะแสดงความกตัญญูโดยการมากราบเท้าแม่ ล้างเท้าให้ เอาน้ำล้างเท้าไปอาบ ไม่คิดว่าวันหนึ่งจะไปก่อเหตุแบบนี้ได้
ขณะที่ น.ส.วสดา นิลเทศ อายุ 42 ปี พี่สาวของนายหน่อย บอกว่า ส่วนตัวมีความกังวลว่าหลังจากน้องชายหลบหนีไป จะมีการกระทำบางอย่างที่ครอบครัวคาดไม่ถึง เช่นการทำร้ายตัวเอง เพราะก่อนหน้านี้น้องชายเคยบ่นและตัดพ้อกับตัวเองตลอด เวลาไปเยี่ยม "อยากจะหลบหนี เพราะไม่ได้เป็นคนกระทำผิด ยาเสพติดล็อตดังกล่าวไม่ใช่ของตนเอง ซึ่งหากหลบหนีไม่ได้ ก็จะปิดชีวิตตัวเองอยู่ภายในเรือนจำ ขอให้ครอบครัวมารับศพออกไปด้วย" จากคำพูดดังกล่าวทำให้ครอบครัวมีความกังวลมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่คิดว่าคำพูดนั้นจะทำให้เจ้าตัวแหกคุกหลบหนีครั้งนี้ ยืนยันว่า การก่อเหตุหลบหนีครั้งนี้ ครอบครัวไม่มีส่วนเกี่ยวข้องรู้เห็น ก่อนหน้าในปี 50 น้องชายถูกจับคดียาเสพติด 10 เม็ด และอาวุธปืนไม่มีใบอนุญาตครอบครอง ติดคุก 4 ปี 6 เดือน หลังพ้นโทษว่าจ้างทำใบขับขี่ปลอม กระทั่งถูกจับดำเนินคดี ปลอมแปลงเอกสารทางราชการ ช่วงปลายปี 57 โดนคดีย้อนหลัง แอบนำเอาเครื่องมือสื่อสารเข้าในเรือนจำ ถูกออกหมาย แต่หลีบหนียังไม่รับโทษ ปี 62 ถูกจับคดียาเสพติด พบยาบ้า 2 แสนเม็ด และยาเสพติดอื่นๆ พร้อมทั้งถูกจับข้อหามีปืนไม่มีใบอนุญาต ซึ่งเป็นคดีล่าสุดที่อยู่ระหว่างขึ้นศาลชั้นต้น แต่หลบหนี
จากนั้นทีมข่าวลงพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นบ้านของ น.ส.สิรินภา ผู้ต้องหา พบว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นโรงงานรับซื้อมันสำปะหลังเอกชนรายหนึ่ง ซึ่งเจ้าของโรงงานไม่อยู่ แต่ทีมข่าวได้พบกับ นางวิรัชนีย์ เหมือนใจ อายุ 56 ปี คนงาน บอกว่า ตนทำงานที่โรงงานมาประมาณ 13 ปี ไม่เคยเห็นหน้าของ น.ส.สิรินภา และไม่เคยรู้จักมาก่อน อีกทั้งโรงงานที่ตนทำงาน ไม่มีการนำชื่อของคนงานมาอยู่ในทะเบียนบ้านซึ่งตนก็ไม่รู้เช่นกันว่าทำไมชื่อตามทะเบียนราษฏร์ของ น.ส.สิรินภา ถึงมาตรงกับที่อยู่ของโรงงาน
ต่อมาทีมข่าวลงพื้นที่ร้านขายของชำแห่งหนึ่ง ใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เป็นบ้านที่น.ส.สิรินภา มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน สอบถาม นางนิตยา สังข์เงิน อายุ 65 ปี เจ้าของบ้าน บอกว่า น.ส.สิรินภา ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือเป็นญาติกับตนเลย แต่ก่อนหน้านี้หลานสาวตนได้เปิดบริษัททำเอกสารสำหรับจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ โดยมี น.ส.สิรินภา เป็นลูกค้า หลานสาวจึงได้ย้ายชื่อของ น.ส.สิรินภา มาอยู่ในทะเบียนบ้าน ตนไม่ทราบเรื่องมาก่อนว่าชื่อของ น.ส.สิรินภา อยู่ในทะเบียนบ้าน กระทั่งเมื่อ 6 เดือนก่อน น.ส.สิรินภา ถูกจับในคดียาเสพติด และตำรวจได้มาตามตัวที่บ้านของตน จึงได้ให้หลานสาวทำเรื่องย้ายปลายทาง ยืนยันว่าไม่ได้เป็นญาติและไม่รู้จักผู้ต้องหาแน่นอน
ด้าน ร.ต.อ.ธนะเมศฐ์ โพธิ์พันธ์ ผู้ได้รับบาดเจ็บ จากการปฏิบัติหน้าที่ ขณะนี้พบว่าอาการปลอดภัยแล้ว แต่ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
รายงานข่าวของเดลี่เมล์ ระบุว่า ข่าวการหลบหนีของผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ซึ่งหลบหนีไปทั้งที่ยังมีโซ่ตรวนล่ามอยู่ที่ขา กลายเป็นข่าวใหญ่ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจอย่างมาก เพราะถือเป็นการหลบหนีที่อุกอาจจากศาล อีกทั้งยังใช้อาวุธทำร้ายตำรวจจนบาดเจ็บสาหัส
รายงานของสื่ออังกฤษระบุว่า ล่าสุด ทางตำรวจไทยได้แจ้งต่อสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทยแล้วว่า หากนายบาร์ท แอลเลน เฮลมัส ถูกจับกุมตัวได้ เขาอาจต้องรับโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิตตามกฏหมายไทย จากพฤติกรรมเหี้ยมโหดในครั้งนี้ โดยที่ผ่านมา รัฐบาลสหรัฐฯภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ มีจุดยืนในการ ไม่ปกป้องพลเมืองอเมริกันที่กระทำผิดกฏหมายในต่างแดน พร้อมเรียกร้องให้พลเมืองอเมริกันทั่วโลก ปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศที่ตนอาศัยอยู่
ล่าสุดเมื่อช่วงดึกที่ผ่านมา ตำรวจพบรถของผู้ต้องหาที่คาดว่าใช้หลบหนีแล้ว เป็นรถเก๋งมิตซูบิชิ มิราจ สีขาว ถอดป้ายทะเบียนทั้งด้านหน้าและหลังออก ซึ่งพบรถคันนี้ในเขตรับผิดชอบของตำรวจ สภ.เขาฉรรจ์ จ.สระแก้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายผลและติดตามทั้งหมดมาดำเนินคดี พร้อมเฝ้าระวังช่องทางธรรมชาติเพราะเกรงว่าจะออกนอกประเทศ ส่วนการสอบปากคำผู้ให้การช่วยเหลือผู้ต้องหา 4 คน ประกอบด้วยนายแม็กซ์, นางอร, นายกรณ์ และนางรุ่ง พบว่าถูกนำตัวไปแยกสอบปากคำ สภ.บางละมุง
และมีรายงานด้วยว่า ล่าสุดเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว 2 ใน 3 ผู้ต้องหาที่หนีศาลได้แล้ว โดยเป็นผู้ต้องหาหญิงและผู้ต้องหาต่างชาติ แต่นายตำรวจระดับสูงยังไม่ยืนยันข้อมูลดังกล่าว