พ่อ-แม่น้องไทตัล ร่ำไห้!เหมือนโดนสื่อลูบหลังแล้วตบหัว-วอนอย่ากดดันตำรวจ ไม่อยากให้จับแพะ(คลิป)
ผ่านไป 7 วัน รู้สึกอย่างไรกับการทำงานของตำรวจ?
อนุชา : "ผมก็ยังยืนยันเหมือนที่เคยตอบว่าไม่อยากให้ไปกดดัน เพราะการทำงานตำรวจลำบาก คดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ผมคิดว่าตำรวจทำงานเต็มที่ทุกท่าน"
เห็นบอกว่าอัฐิไม่ลอยอังคาร?
อนุชา : "ก็ตามที่ผมเคยอ่าน หรือเจอข่าว การลอยอังคารคือทุกคนเอาไปลอยอังคารกันหมด มันเหมือนดวงวิญญาณจะไปอยู่ตรงนั้นตามความเชื่อของผม เหมือนรอคิวกันเพื่อไปเกิด อีกอย่างน้ำมันเย็น ผมก็กลัวน้องจะหนาว"
เลยเอาอัฐิน้องไปไว้?
อนุชา : "ตอนนี้อยู่ที่บ้าน แต่ที่คุยจะไว้ที่กำแพงโบสถ์ รอป้ายติดชื่อน้องข้างกำแพง"
เห็นมีข่าวว่าจะย้ายที่อยู่?
วิไลวรรณ : "ยังอยู่ที่เดิมค่ะ แต่ย้ายที่ทำงานไปอีกสาขา แม่รับไม่ได้ที่จะไปอยู่สาขาเดิมที่น้องเสียชีวิตค่ะ"
ประเด็นที่เกิด ทางตำรวจก็พยายามตาม ญาติผู้สูญเสียบางท่านกลัวจับแพะกัน มองยังไง?
อนุชา : "ผมก็คิดอย่างนั้น ที่ไม่อยากไปกดดันด้วยผมกลัวว่าจะไปจับแพะ ถ้าจับแพะคนที่จับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ ครอบครัวเขาก็ต้องสูญเสียเหมือนกัน ถ้าเขาเป็นแพะจริง ผมมองว่ามันก็ไม่เป็นธรรมสำหรับคนที่ต้องมารับเคราะห์แทน"
ทุกวันนี้แทบจะรายวัน คนนั้นถูกเอามาแขวนในโซเชียล พ่อตามมั้ย?
อนุชา : "ทุกวันนี้เลือกเสพข่าวเป็นบางอย่างมากกว่า อันไหนที่ดูแล้วไม่สบายใจ ไม่ดี เราก็ไม่ดู ทุกวันนี้เฟซบุ๊กน้อยมากที่จะดู นั่งคุยกัน อยู่ด้วยกันมากกว่า"
มีคนสัมภาษณ์เยอะมาก?
อนุชา : "เยอะครับ"
ทำไมมาพูดตรงนี้?
อนุชา : "ผมจะให้สัมภาษณ์รายการพี่หนุ่มเป็นรายการสุดท้าย รบกวนเป็นกระบอกเสียงให้ผม คือมันหลายๆ อย่างที่เราสูญเสียลูกไปแล้ว เรื่องน่าจะจบตั้งแต่เสร็จงานน้อง ความสูญเสียเราก็มีอยู่แล้วแต่มีประเด็นดราม่าตามข่าว อันนั้นเราก็ไม่ว่าอะไรกัน เราอยากให้มันจบ อยากกลับไปใช้ชีวิตปกติ เพราะเราคือสามัญชนคนธรรมดา ชาวบ้านทั่วไป เราไม่ใช่ดารา ชีวิตส่วนตัวเราหายไป"
สูญเสียมามากพอแล้ว ต้องสูญเสียตัวตนไปด้วย?
อนุชา : "แม้เราจะเดินเข้าไปซื้อของราคาหลักพันสองพัน เรายังไม่กล้าเข้าไปซื้อ เรากลัวคนเขามองว่าพอเราได้เงินแล้วไปซื้อโน่นซื้อนี่ แทบต้องอยู่บ้านโดยไม่ออกไปไหนเลย"
กลัวคนครหา ว่าเอาเงินบริจาคไปซื้อของหลักพันบาท?
อนุชา : "ใช่ กลัวว่าพอลูกเสียก็มีเงินใช้กันฟุ่มเฟือย กลัวจะมองอย่างนั้น แต่เงินบริจาคผมก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่อยากรับ เพราะกลัวจะมีดรามาเรื่องเงินเข้ามา สุดท้ายก็เกิดจริงๆ มันเหมือนการที่เราสูญเสียก็ยากที่จะทำใจ ชีวิตประจำวันหรือการดำรงชีวิตเรามันยาก คนจดจำเราได้เราขอบคุณมาก ขอบคุณที่มาแสดงความเสียใจหรือให้กำลังใจ แต่ก็มีแตกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มคอยจับผิดก็มี กลุ่มให้กำลังใจก็มี แต่เราก็อดแคร์สายตาความรู้สึกเขาไม่ได้อยู่ดี"
ปิดรับบริจาคแล้ว?
อนุชา : "ปิดแล้วครับ ไม่ต้องบริจาคผ่านบัญชีแล้ว แต่ถ้าท่านใดจะมามอบที่บ้าน มาเยี่ยมเยียนเราก็ยังรับอยู่ แต่เรื่องเงินบริจาคผ่านบัญชีเราขอปิดดีกว่า เราพอแล้ว เราขอบคุณทุกน้ำใจ มันก็พอสมควรแล้ว"
โทรคุยกับพ่อก็ไม่ค่อยได้ยิน พ่อจะเอาเงินไปซื้อโทรศัพท์ก็ไม่กล้าซื้อ?
อนุชา : "ใช่ ให้น้องแฟนไปซื้อให้ เรากลัวเขาว่าเราใช้สุรุ่ยสุร่าย ผมว่าคนบริจาคเขาไม่คิดแบบนั้นหรอก คนที่เขามีใจบริจาคส่วนหนึ่งเขาให้เราใช้ส่วนตัวเป็นทุนทรัพย์อยู่แล้ว แต่คนไทยเราอย่างว่า แตกเป็นสองกลุ่ม"
พยายามมาแซะ ต่อว่าจับผิด ล่าสุดเรื่องหนี้สิน สื่อนึงนำเสนอว่าพ่อไปติดหนี้เขา รู้สึกยังไงกับเรื่องนี้?
อนุชา : "เอาจริงๆ ผมไม่โกรธเจ้าหนี้ หนี้สินเขามีสิทธิ์ทวงถาม แต่อยากถามว่ามันผิดวิธีไปมั้ย เราอยู่ในช่วงสูญเสีย มันมีวิธีอื่นมั้ยที่ไม่ต้องทำให้เราเจ็บช้ำมากกว่าเดิม ถามว่าหนี้สินติดจริงมั้ยก็ติดจริง ผมก็ยอมรับทางช่องนั้นไปแล้ว ยินดีคืนให้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว"
ที่มาที่ไปคือยังไง?
อนุชา : "วันนั้นมีสื่อนึงบอกว่าจะเข้าไปบริจาคช่วยเหลือน้อง 5 พันบาท แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะไปสัมภาษณ์อะไร บอกว่าขอเข้าไปมอบให้ที่บ้านได้มั้ย วันนั้นผมต้องไปเอารถยนต์ที่ธนบุรี ผมเลยบอกว่าแม่อยู่คนเดียว ให้เบอร์ติดต่อแม่ไป เขาก็คงมอบให้กับแม่ ตอนนั้นผมไม่อยู่ หลังจากนั้นแม่โทรหาผมบอกว่าป๊า นักข่าวคนนั้นมาขอสัมภาษณ์นะ เรื่องอัฐิจะไว้กี่วันที่ไหนอะไรยังไง แต่มีประเด็นดราม่าอยู่ เขาบอกเรื่องหนี้สิน แต่แม่บอกให้คุยกับป๊าเองเพราะแม่ไม่รู้ ผมก็บอกไม่เป็นไร เดี๋ยวโทรไปหานักข่าวเอง ผมก็โทรบอกว่าผมติดหนี้จริง ให้นักข่าวเป็นตัวกลางประสานงาน ถ้าผมมีผมไม่คิดจะไม่ใช้ใคร แต่ตอนนั้นเงินซื้อนมลูกยังไม่มีเลย จะให้เราไปเอาตรงไหนมาเลยหรือให้เบอร์ผมก็ได้ หรือพี่นักข่าวเอาเลขที่บัญชีมาก็ได้เดี๋ยวผมจะโอนให้เลย เพราะยอดเท่าไหร่ผมจำไม่ได้ เขาบอกว่ายอด 1.86 หมื่น"
เป็นค่าอะไร?
อนุชา : "ตอนนั้นเจ้าหนี้ผมตั้งวงแชร์เกี่ยวกับอะไหล่รถซิ่ง เราก็เล่นแชร์ ตอนนั้นผมเล่นวงเบาะน่าจะได้มือที่ห้าที่หก ต้องส่งหกงวดถึงได้รับของ เหมือนแชร์เงินทั่วไป แต่สุดท้ายเราค้างเอาไว้ เราได้ของมาแล้ว แต่ตอนหลังมีปัญหาเรื่องขายของ ก็เลยค้างเงินเขาเอาไว้"
พ่อโอนให้มั้ย?
อนุชา : "เราโอนให้ 1.9 หมื่น คือมันมีข่าวออกมาแล้ว แต่เราแสดงความจำนงค์ก่อนว่าจะรับผิดชอบ"
วิไลวรรณ : "พ่อเขาแจ้งกับนักข่าวให้เป็นตัวกลางประสานงานให้หน่อย เอาเบอร์โทรหรือหมายเลขบัญชีมาก็ได้ ทีนี้นักข่าวรับปากแต่ไม่ได้ติดต่อมา ทีนี้มีข่าวออกมาก่อน"
อนุชา : "ผมก็คิดว่าเดี๋ยวเช้าคงเอาหมายเลขบัญชีมาให้ แต่สามทุ่มกว่าๆ ข่าวมันก็ออกเลย"
สุดท้ายนักข่าวบอกจะประสานให้ เอาเบอร์บัญชีเจ้าหนี้ให้ พ่อก็รอถึงเช้า เพราะเขามาสัมภาษณ์ไปแล้วว่าติดจริงเดี๋ยวใช้ให้ ก็น่าจะเป็นเรื่องภายใน?
อนุชา : "ก็น่าจะจบตั้งแต่ตอนนั้นเพราะเราแสดงความรับผิดชอบแล้ว ผมไม่มีเบอร์เขา เพราะผมลบทิ้งไปตั้งแต่ตอนนั้น มันหายไปแล้ว เราก็รอนักข่าวให้เขาเป็นคนประสานงาน เราคิดว่าเดี๋ยวเช้าคงส่งให้เรา ปรากฎว่าสามทุ่มมีข่าวออกมาตามสื่อมีการให้สัมภาษณ์ว่าผมติดหนี้และหลบหนี ติดตามมานานแล้วหาตัวไม่เจอ"
คนก็ด่าพ่อว่าไม่ใช่หนี้เขา?
อนุชา : "ส่วนหนึ่งเขาก็เข้าใจ เขามองในมุมว่ามันไม่ใช่เวลา ส่วนนึงก็เข้าใจหัวอกเจ้าหนี้ ส่วนหนึ่งก็เข้าใจหัวอกคนสูญเสียว่ามันไม่ใช่เวลา แต่ถามว่าข่าวที่ออกไปเป็นความจริงมั้ย เราติดหนี้จริง เราหายจริง แต่คิดว่ามันน่าจะจบกันได้ ไม่ต้องไปตอกย้ำแบบนั้น สื่อทำงานเบื้องหน้าก็จริงแต่ติดทองหลังพระก็ได้ สร้างความดีหลังพระก็ได้ เคลียร์ให้ผมข้างหลังก็ได้ ทุกคนก็จดจำในสิ่งดีๆ ของกันและกัน แต่พอมีข่าวออกไป ผมก็รู้สึกว่ามันเกินไปมั้ย การที่เราสูญเสีย เราไม่ได้เอามาเป็นเกราะป้องกันว่าต้องมาดราม่ากับผม ผมติดหนี้จริงผมก็ยอมใช้ให้จริง ตอนนั้นเราไม่มีจะให้เราทำไง"
พ่อเสียใจที่มีคนบอกว่าถ้าข่าวไม่ออกพ่อก็ไม่ใช้คืน?
อนุชา : "ใช่ เพราะตอนคุยกับนักข่าวตอนเย็น ผมมีความรับผิดชอบตั้งแต่ตอนเย็นแล้ว ว่าให้เป็นตัวกลางเอาบัญชีมาเลย จะโอนให้ แต่พอเป็นข่าวไปแล้วผมก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ผมก็ไปค้นหาบัญชีที่เคยโอน ผมก็รีบโอนให้เลย แต่กลับกลายเป็นว่าถ้าไม่เป็นข่าวก็คงไม่คืนเขา ก็ตอกย้ำเราอีก"
พูดในฐานะที่ลงพื้นที่ พ่อหาเงินซื้อนมให้ลูกกินก็ไม่มี ผมเข้าใจนะ เพราะวันที่เขาสูญเสียลูก ลูกต้องไปชันสูตรที่รพ. ปรากฎว่าเขาต้องเอาเงิน 1 พันบาทเป็นค่าจัดการ สามีภรรยาคู่นี้ มีเงิน 200 บาท ไม่รู้จะทำยังไง สิ่งที่เขาทำคือเขาไปยกมือไหว้กู้ภัยบอกว่าไม่มีตังค์ ขอตังค์หน่อยจะเอาลูกออก กู้ภัยหาเงินให้ 1 พัน เขาถึงได้เอาลูกออกมา?
อนุชา : "แต่พอ รพ. ทราบเรื่องเขาก็ไม่เก็บเงิน 1 พันบาท จะนำเงินไปคืนกู้ภัยแต่เขาบอกไม่เอา"
หลังจากนั้นโทรศัพท์ไปหากู้เงิน 1 หมื่นเพื่อทำศพลูก เพราะไม่มีตังค์จัดงานให้ลูก?
อนุชา : "จริงๆ บริษัทเอ็มเคเขารับผิดชอบเรื่องงานศพ แต่เราคิดว่ายังไงเราก็ต้องมีเงินสำรองติดตัวไว้ เผื่อซื้อโน่นซื้อนี่"
ไปกู้หนี้นอกระบบ?
อนุชา : "เรากู้เขาอยู่แล้ว แต่ไปขอกู้เพิ่มอีก 1 หมื่น เพื่อมาจัดงาน"
ล่าสุดพ่อจะเอาเงินไปคืนสื่อ?
อนุชา : "ครับ 5 พันบาท เราขอบคุณสื่อที่มีน้ำใจให้เรา ผมโดนลูบหลังแล้วตบหัว เขาเอาเงินมาให้ผมก่อน แล้วทำร้ายเราทีหลัง เอาเรื่องเงินมาเป็นประเด็นเล่นข่าวต่อ ถ้าคนดูสัมภาษณ์ผมตั้งแต่ต้นจนจบจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ถามว่าติดหนี้มั้ย ติดจริงผมยอมรับ แต่ผมโทษการนำเสนอของสื่อ"
"พ.ต.อ.บรรดล ตัณฑไพบูลย์ (มือปราบเหยี่ยวดำ) อดีตรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจ.สระบรุี ครบ 7 วันคนร้ายกราดยิงชิงทอง มองยังไง?
พ.ต.อ.บรรดล : "จับได้แน่นอน มั่นใจ คดีลึกลับซับซ้อนกว่านี้ยังจับได้"
คนกดดันว่าทำไมจับไม่ได้?
พ.ต.อ.บรรดล : "ต้องเห็นใจตำรวจบ้างเขาได้ทุ่มเทกำลังทั้งหมดแล้ว ลงไปสืบสวนคดีนี้ เขาต้องการเอาของจริง ไม่ใช่ของไม่จริง คนร้ายต้องเป็นตัวจริง สิ่งสำคัญที่สุดคือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. , พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. นายตำรวจทั้งสามท่าน ผ่านงานสืบสวนสอบสวนมาทั้งชีวิตแล้ว ผมเชื่อมั่นในสามท่านนี้ว่าเขาสุดยอดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว"
คิดวาเขาไปเส้นทางไหนในฐานะเราเป็นมือปราบ?
พ.ต.อ.บรรดล : "เส้นทางเดาไม่ได้ แต่คาดการณ์ว่าคนร้ายอยู่ลพบุรีหรือสระบุรีนั่นแหละ"
แต่ตร.บอกว่าไปอยู่แถวชายแดน?
พ.ต.อ.บรรดล : "อันนี้ไม่ออกความเห็น เพราะอะไรก็แล้วแต่เป็นการคาดการณ์ว่าจะไปโน่นไปนี่ แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไป แต่ผมเชื่อมั่นในสามคนนี้ เพราะเป็นลูกศิษย์อดีตตำรวจนครบาล รวมทั้งผมด้วย คิดว่าจับได้แน่"
อนุชา : "จับได้แต่ต้องใช้เวลา คนร้ายน่าจะเตรียมการมาอย่างดี น่าจะมืออาชีพ แต่ก็ไม่น่าเกินความสามารถตำรวจ"
พ่อแม่ยืนยันว่าวันนี้ไม่อยากให้มีการจับแพะ?
อนุชา : "ใช้เวลานานซะดีกว่าที่จะเอาแพะมารับผิดชอบ ใช้เวลาแต่ได้คนร้ายตัวจริง ดีกว่าทำเร็วแต่ได้แพะ เรื่องคนร้ายเราแทบจะไม่ตามเลย เราให้ตำรวจทำงานไป มันมีกฎหมายอยู่แล้ว"
พ่อแม่หลังจากนี้จะไปบวช?
อนุชา : "ใช่ เราคุยกันไว้ตั้งแต่แรกว่าจะบวชให้น้อง เราคิดว่าเราต้องไปหาที่เงียบๆ สักพัก อย่างที่บอกชีวิตประจำวันมันหายไปแล้ว เรากลายเป็นคนสาธารณะไปแล้ว คนจับจ้องเราทุกเรื่อง ทุกดราม่า เราขอบอกทุกคนว่าการสูญเสียเรา ไม่อยากให้ไปดราม่าเรื่องน้องอะไรมากมาย เราไม่อยากให้มาแตกเป็นสองฝ่ายแล้วไปด่าไปว่ากัน บางคำพูดมีพาดพิงถึงน้อง อย่างเรื่องเงินว่านี่แหละเวรกรรมไปโกงเขาถึงได้สูญเสียลูกไป มันมีในคอมเมนต์ เป็นเวรกรรมโกงเขามาเลยเสียลูกไป เราเจ็บปวดอยู่แล้วไม่อยากให้มาตอกย้ำกันแล้ว"
คนคิดแบบนี้จิตใจเลวทรามมาก?
อนุชา : "มันมีหลายคอมเมนต์ เอาน้องไปพาดพิงเกี่ยวกับเรื่องหนี้ น้องเขาไปดีแล้ว ไม่น่าดึงเขามาเกี่ยว หนี้ผมเป็นคนก่อ ผมก็ยอมรับ ผมไม่ได้อายว่าติดหนี้ แต่ขอร้องอย่าไปดึงน้องมาเกี่ยว ประเด็นเรื่องหนี้มันไม่เกี่ยวกับคดีเลย ถ้าสื่อไม่นำเสนอ ถ้าสื่อมีวิจารณญาณหรือมีจรรยาบรรณสักนิด ผมว่าคงไม่มีใครมาดราม่า ทุกอย่างก็คงจบสิ้นกันไป"
ทำไมไม่บอกสื่อว่าอย่าไปออกนะ?
อนุชา : "ผมคิดว่าผมคุยเรียบร้อยแล้วน่าจะจบแค่นั้น แล้วนักข่าวบอกว่าเขาคุยไปงั้นๆ ไม่ได้จะเอาไปออก ตอนเขาไปสัมภาษณ์แม่ แม่ก็บอกว่าถ้าเรื่องแบบนี้ขอแล้วกัน ไม่อยากให้กระทบกระเทือนใคร ให้ติดต่อผมก่อน ยังไงก็ให้คุยกับผม สื่อบอกว่าไม่เอาไปออกข่าวหรอก เราก็ไม่คิดว่าจะมีข่าวขึ้นมา"
จะเอาเงินไปคืนเขายังไง?
อนุชา : "จะไปสถานีตำรวจที่ลพบุรี นักข่าวน่าจะปักหลักกันอยู่ที่นั่น เราจะคืนให้นักข่าวช่องเขาที่อยู่ที่นั่น เราก็ขอบคุณที่มีน้ำใจช่วยเหลือเรา แต่เงินของท่าน ณ วันนี้ไม่สามารถเอาไปทำบุญร่วมกันได้ เพราะเงินของท่านทำร้ายเรา ทำให้เราเจ็บปวด"