พีทคนเลือดบวก ลั่น!ถ้ากำราบไม่ได้ ก็ให้ติดเชื้อให้หมด หมอโต้กลับ ความคิดแบบนี้เป็นอันตราย! (คลิป)
ประเด็นเกิดอะไรขึ้น?
พีท : "จริงๆ เป็นข้อมูล เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อยู่แล้ว ทฤษฎี U=U คือคนที่มีเอชไอวี รับยาต้านแล้ว อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี รักษาอย่างดี กินยาตรงเวลาต่อเนื่องตลอดไป ก็ไม่สามารถส่งต่อเอชไอวีให้กับพาร์ทเนอร์เขาได้"
เป็นมานานหรือยัง?
พีท : "เป็นมา 4 ปี ผมเป็น LGBT"
พีทเป็นก็ไปศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้น?
พีท : "ตอนรู้ผลเลือดด้วยความบังเอิญ ใช้เวลา 3 ปีนั้นอยู่บนความดำมืดของความไม่รู้ ความไม่เข้าใจว่ากินยาไปเพื่ออะไร แต่ตอนนั้นกินยาเพื่อที่จะอยู่กับแฟน และคิดว่าเรากินยายังไงเราก็ต้องตาย จนผมรู้สึกว่าไม่รู้แหละ ใครจะมองผมยังไง แต่ผมอยากใช้ชีวิตของผมอย่างมีความสุข ผมยอมรับตัวเองได้ คนอื่นจะยอมรับผมยังไงก็เรื่องของเขา ผมก็เลยเลือกที่จะเปิดเผยบนเฟซบุ๊ก แล้วกลายเป็นว่าคนก็ให้กำลังใจ พี่ๆ ก็ตามหาตัวเชิญมาสัมภาษณ์ ผมก็ได้ไปรู้ข้อมูลนึง มันมีทฤษฎี U=U คือคนเลือกบวกที่ได้รับยาต้านไวรัสแล้ว อย่างน้อย 6 เดือนถึง 1 ปี กินยาตรงเวลา และกินยาต่อเนื่องไปเรื่อยๆ คนเลือดบวกคนนั้น จะไม่สามารถส่งเลือดบวกให้คู่ของเขาได้"
ถ้ากินยาต้านเอชไอวีตัวนี้ 6 เดือนถึง 1 ปี คุณสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ โดยที่เชื้อไม่ไปติดคนอื่น เหมือนคุณคนปกติงี้เหรอ?
พีท : "ใช่ครับ เพราะ WHO หรือองค์กรระดับโลก หรือองค์กรยูเอ็น เอดส์ เองก็สื่อสารว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อแล้วหรือซัคเซส กดไวรัสลงได้แล้วเนี่ย จะไม่สามารถส่งต่อเอชไอวีให้กับคนอื่นได้ ความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์เป็นศูนย์ สำหรับเอชไอวี"
การที่อยู่ดีๆ ในมุมที่คุณเป็น คุณอาจมีแฟนอยู่ ทำไมไม่ใช้ในมุมคุณเอง คุณออกมาประกาศว่าจะเปิดคอร์สสอนคนเป็นเป็นเอชไอวี แล้วก็มีเพศสัมพันธ์สดๆ โดยไม่สวมถุงยาง ทำเพื่ออะไร?
พีท : "จริงๆ ผมพูดทั้งฝั่งคนเลือดลบ และคนเลือดบวกด้วยนะครับ ฝั่งคนเลือดลบเขาจะมีเครื่องมือในการป้องกันคือยาแพร๊พ คือยาป้องกันเอชไอวีก่อนสัมผัสเชื้อ ซึ่งมันสามารถป้องกันเอชไอวีได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งคนกลุ่มนี้เขาจะใช้ถุงยางร่วมด้วย หรือไม่ใช้ก็ตาม เป็นด่านแรก"
เอาง่ายๆ คุณไปยุ่งกับเขาทำไม ในเมื่อคุณมีความคิดแบบนี้ จำเป็นต้องเปิดคอร์สสอนด้วยเหรอ?
พีท : "จริงๆ ควรเป็นอย่างนั้น"
คุณจิตสาธารณกุศลทำไม?
พีท : "เพราะว่าพวกเขาอยู่ในความเสี่ยง พวกเขาอยู่ในกลุ่มอันตรายครับ ถามว่ามีองค์กรไหนช่วยกลุ่มประชากรกลุ่มนี้บ้าง" สมมติคุณบอก U=U กินยาต้านไวรัสอาจไม่มีการส่งต่อเชื้อ แต่เชื้อยังอยู่ในร่างกายของคุณ ถ้าวันนี้คุณมีเพศสัมพันธ์ไม่สวมถุงยางอนามัย เริม หรือพวกตับอักเสบ หนองใน ซิฟิลิส โรคอื่นๆ อีก
เยอะแยะที่มันมาจากทางเพศสัมพันธ์ได้ ไม่กลัวจะไปกระตุ้นเชื้อเอชไอวีเหรอ?
พีท : "ผมเคยเป็นหนองใน และซิฟิลิสมาแล้ว เป็นทั้งที่เป็นนักรณรงค์ เป็นเพื่อให้รู้ว่ามันต้องรักษายังไง ข้อมูลอะไรที่เราต้องรู้"
ในฐานะเป็นนักไวรัสวิทยา ศึกษามานักต่อนัก ทฤษฎีแบบนี้ มองยังไง?
ดร.นพ.ปกรัฐ : "สิ่งที่คุณพีทพูด มันถูกต้อง แต่คนไหนไม่มีเชื้อแล้วจะไม่สามารถส่งต่อให้คนอื่นได้ นี่เป็นความรู้ในสากลว่าเป็นความจริง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์แบบนี้ เกิดขึ้นในการศึกษาวิจัย ทุกคนถูกคอนโทรลควบคุมหมดเลย ต้องทานยาจนเชื้อไม่มี จึงไม่สามารถส่งผ่านเชื้อได้ เราต้องพูดว่า ถ้าคนไหนไม่มีเชื้อ เขาจะไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น แต่คู่ของเขา พาร์ทเนอร์ของเขา ไม่ใช่ไปแพร่เอชไอวีให้คนทั่วไป สองคือถ้าเกิดใช้ยาแพร๊พ prep ปกติการทานยาได้ ทั่วโลกบอกว่าใช้ได้ค่อนข้างดี แต่ไม่ใช่แปลว่าไม่ใช้ถุงยางอนามัยนะครับ เพราะนอกจากโรคที่คุณหนุ่มพูดแล้ว คนที่ไปนอนกับผู้ติดเชื้อ หรือได้รับเชื้อหนองใน ซิฟิลิส โรคเริม ในมุมมองของผมไม่ควรอย่างยิ่ง ไม่ว่าคุณจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชือ ควรใช้ถุงยางอนามัย"
ถ้ามองในมุมคนเป็นเอชไอวี ภูมิคุ้นกันต่ำ สามารถรับเชื้อได้ง่ายกว่าคนปกติมั้ยแม้จะกินยาต้านไวรัสไปแล้ว จะกลับมาร้อยเปอร์เซ็นต์มั้ย?
ดร.นพ.ปกรัฐ : "คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ ต่อให้ดีขึ้นยังไงก็มีความผิดปกติในการคุ้มกันโรค อาจรับเชื้อได้ง่ายกว่า"
เคยศึกษามั้ย?
พีท : "ทราบอยู่ครับว่าระดับซีดีโฟร์ มีเลเวลหรือแรงกิ้งอยู่ ซึ่งถ้าคนทั่วไปก็ประมาณห้าร้อยหรือหกร้อยขึ้นไป สำหรับผม ผมมองว่ามันขึ้นอยู่กับผลแล็ปของแต่ละคน สำหรับผม ซีดีโฟร์เกิน 600 มาแล้ว สองปีที่ผ่านมาผมไม่ป่วยเลยไม่เป็นอะไรเลยแม้กระทั่งไข้หวัด โอเค อาจแตกต่างกันแต่ละบุคคล แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นที่จะมาเป็นพ้อยท์ พ้อยท์คือเราต้องกินยาให้ตรงเวลา เพื่อรักษาตัวเองอยู่ในสถานะไม่แพร่เชื้อต่อไปเรื่อยๆ ถ้าคุณหยุดยา คุณจะดื้อยา และต้องเปลี่ยนสูตรยาใหม่ที่แรงขึ้น ผมผลต่อตับและหัวใจมากกว่าเดิม"
ตรงนั้นออกมารณรงค์กันได้ แต่คนละเรื่องที่คุณไปชวนคนมาเข้าคอร์ส มีเพศสัมพันธ์กันแบบสดๆ ไม่ใส่ถุงยาง?
พีท : "พี่กรรชัยยอมรับมั้ยละครับ ว่ากลุ่มคนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เป็นปัญหาสาธารณสุขอยู่ทุกวันนี้ คนที่มีรสนิยมไม่ใช้ถุงยาง พี่เชื่อว่ากลุ่มคนนี้มีตัวตนอยู่มั้ยในสังคม คนกลุ่มนี้ไม่ใช้ ให้ตายยังไงก็ไม่ใช้ เหมือนผมบอกว่าผมบอกว่าผมมีรสนิยมไม่ใช้ถุงยาง ผมอยากรักษาทุกโรค แต่ไม่ใช้ถุงยางอนามัย คำถามคือถ้าคุณหมอบอกว่าใช้ถุงยางอย่างเดียว ผมมีเครื่องมืออื่นในการป้องกันผมหรือเปล่า"
คุณจะพูดถึงรสนิยมคนไม่ชอบถุงยางอนามัย แต่ไม่ใช่ว่าจะไปชวนคุณอื่นให้ไปเหมือนคุณ มันทำได้เหรอ?
พีท : "เรื่องรสนิยมแบบนี้ใครจะไปเปิดเผยกันล่ะกัน ผมก็ต้องหว่านแหมั้ย"
แต่แบบนี้อาจไปชี้แนะสังคม เพราะสังคมบอกว่าใช้เถอะ มันมีเรื่องโรคต่างๆ ตามมา?
พีท : "ถูกครับ ผมไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้นะครับ ผมพูดหมด แต่ภายใต้คำแคปชั่นออกมา ต้องดูว่ารายละเอียดที่ผมพูดออกมา ผมตอบคำถามที่คุณหมอพูดไว้หมดแล้ว แต่ผมไม่แน่ใจว่าสังคมไปอ่านหรือเปล่าแค่นั้นเอง ปัญหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คนบอกว่าใช้ถุงยางน้อยลงแล้วจะติดต่อโรคทางเพศสัมพันธ์มากขึ้น สิบปีที่ผ่านมา ทำไมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูงขึ้น ก่อนผมจะออกมาพูดด้วยซ้ำ ในความเป็นจริงมันไม่ใช่การลดการติดต่อต่อแต่เรียกคนเข้ารับบริการทางตรวจ เจออะไรก็รักษา โดยใช้ยาแพร๊พหรือเซ็กซ์สดเป็นกลยุทธ์เรียกคนมารับบริการ ถ้าเขามาถึงระบบ ทำไมไม่ตรวจโรคเขาให้หมดเลยละครับ"
พีท : "ใช่ครับ"
ดูย้อนแย้ง?
พีท : "อยู่ที่ว่าเราตีความยังไงกับคำว่าเซ็กซ์สด สำหรับผม ผมว่าเซ็กซ์สดคือเรื่องธรรมชาติ ทุกคนเกิดมาจากการมีเซ็กซ์สด ถูกมั้ยครับ"
ปัจจุบันคนตายเพราะปัญหาโรคต่างๆ ที่ไม่ใช่ถุงยางเยอะมั้ย?
ดร.นพ.ปกรัฐ : "คนตายจากนี้คงไม่เยอะ แต่มีความพิการเกิดขึ้นด้วย ทำไมคนใช้ถุงยางเพื่อป้องกันโรค เพราะมีคนจำนวนหนึ่งเลยคิดแบบคุณพีท เขากลัวเอชไอวีแต่ไม่กลัวโรคอื่นเลย เป็นดาบสองคมมาก เขาต้องป้องกันตัวเองด้วยนะครับ ถ้ามีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นซึ่งมีเชื้อดื้อยา ตามทฤษฎีนี้ก็มีโอกาสแพร่ให้คนอื่นด้วย"
พีท : "จริงๆ ซิฟิลิสขึ้นสมองถ้ารู้เร็วก็รักษาเร็ว ทำไมเรารอให้คนป่วยก่อนเข้ารับบริการ ทุกคนควรได้รับการตรวจหาช่วยทันที ผมพูดกับกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงสูง การทำงานที่สื่อสารทุกวันนี้ เข้าไม่ถึงคนกลุ่มนี้เลย คนกลุ่มนี้ไม่อิมแพ็กกับการสื่อสารของกระทรวงสาธารณสุขตอนนี้เลยเรื่องการใช้ถุงยาง คนกลุ่มนี้ไม่พร้อมปฏิบัติตาม คนกลุ่มนี้เขาแฝงตัวอยู่ในสังคม เขาไม่ปรากฎตัวให้คุณเห็นหรอกครับพูดเลย"
คุณเชิญชวนต้องการคนกลุ่มนี้เหรอ?
พีท : "ต้องการให้ข้อมูลนี้ส่งไปถึงกลุ่มเขา"
จะบอกว่ามีคนกลุ่มนึงชอบเซ็กซ์สด เขาพยายามจะสอนว่าจะถ้าจะมีเพศสัมพันธ์ไม่สวมถุงยาง ต้องมีวิธีการยังไงบ้าง?
พีท : "ใช่ครับ ส่วนคนจะใช้ถุงยาง ยังไงเขาก็ใช้ ดูจากกระแสสังคมก็รู้ คนไม่ใช้ก็คือไม่ใช้"
ปกรัฐ : "ผมมองต่างมุมมากว่าทัศนคติแบบนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งนะ คุณพีทมีโอกาสอันดี อยู่ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงที่ไม่มีใครเข้าถึง คุณพีทน่าจะช่วยเรา องค์การสาธารณสุขในการโน้มน้าวยังไงให้คนที่ใช้ถุงยาง เพราะมันมีโรคมากมาย เช่นโรคติดเชื้อไวรัสบางอย่างที่ทำให้เป็นมะเร็งทางทวารหนักได้ ผมไม่ทราบว่ากลุ่มที่คุณพีทพูดถึงเขารับรู้เรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ผมคิดว่าการไม่ใช่ถุงยางอนามัย หรือไปสอนเขาว่าใช้ถุงยางอนามัยดีแล้ว มันเป็นการส่งสัญญาณที่ไม่ถูกต้องให้สังคม"
พีท : "อาจารย์น่าจะเข้าใจพ้อยท์เรื่องส่งเสิรมการใช้ถุงยาง แต่พอยท์ของผมคือการใช้ร่วมกันให้ดีที่สุด แต่ถ้าใช้ไม่ได้จริงๆ หยิบอะไรได้ก็หยิบ นั่นคือพ้อยท์ของผม"
หยิบอะไรได้ก็หยิบมันคืออะไร ถุงดำเหรอ?
พีท : "ไม่ใช่ ยาแพร๊พไงครับ คนกลุ่มประชากรนี้เขาไม่สนว่าเขาเป็นอะไร คนอื่นจะเป็นอะไร หนึ่งปีที่ผ่านมาก่อนมาพูดเรื่องนี้ ผมไปออกรายการต่างๆ ก็พูดตามที่ทุกท่านพูด และพยายามโน้มน้าวตามที่คุณหมอพูด"
ตอนนี้คนที่เขาดูรายการ ประชาชนส่วนใหญ่ด่าคุณเละเลย เขาว่าตรรกะคุณวิบัติ?
พีท : "การที่เราจะมองอะไรคือตรรกะวิบัติ เราต้องรู้ว่าอะไรคือตรรกะถูกก่อน การที่เขามาด่าผมว่าตรรกะวิบัติแบบนั้นมันถูกใช่มั้ย"
เอา 500 ไปทำอะไร?
พีท : "ค่าห้องประชุม"
คุณถูกกคนด่าเยอะมาก คุณโกรธ คุณออกมาโพสต์ว่าเดี๋ยวจะเปลี่ยนจากเกย์ไปปล่อยเชื้อให้ผู้หญิง เพื่อ?
พีท : "ผมรังเกียจคนแบบนี้ ต้องดูด้วยว่าคอมเมนต์ที่ผมพูด ผมพูดภายใต้คอนเมนต์อะไร ไม่ใช่เหมาผู้หญิงทุกคน ผมคอมเมนต์ด่าผู้หญิงคนนั้นแหล ะไม่ใช่พยาบาล ที่เขามาด่าผมว่าเป็นเกย์ กะเทย มั่ว ร่าน สำส่อน"
ก็เลยแค้น?
พีท : "ก็เลยรู้สึกว่าคุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินเขา ก็เลยบอกว่าก็ระวังให้ดีนะ วันนึงจะเปลี่ยนรสนิยมไปชอบผู้หญิงก็ได้ ผมพูดเลยว่าวันหนึ่งอาจเปลี่ยนไปชอบผู้หญิงก็ได้ จะได้รับเชื้ออย่างเท่าเทียมกัน ถามว่าสิ่งที่ผมพูด ต้องดูว่าบริบทที่เขาพูดกับผมเป็นอะไร ถ้าเป็นคนหนุ่ม คุณก็รับไม่ได้หรอกครับ"
ที่บอกเดี๋ยวจะรณรงค์คนเป็นเอชไอวี ปล่อยเชื้อออกไป 10 เปอร์เซ็นต์นับเป็นจำนวนคน จะติดประมาณ 51 ล้านคน เพื่อ?
พีท : "เพื่อให้คนเลือดลบได้เห็นว่าการที่เรารังเกียจเดียดฉันท์ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย"
อันนี้คนจะว่าคุณบ้าหรือเปล่า?
พีท : "ถ้าระยะยาวถ้าไม่ยุติปัญหาเอดส์ภายใน 10 ปี ทุกวันนี้ผมยังมองไม่เห็นแนวทางเลย การยุติมีอยู่สองทางครับ ถ้าไม่กำราบไปเลย ก็ให้ทุกคนติดไปเลย มันอาจต้องใช้วิชั่นเยอะหน่อย เพราะผมก็เห็นอะไรบางอย่างที่ไม่รู้ว่าผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเห็นมั้ย แต่วิธีการคิดแบบนี้มีคนทำอยู่จริง"
แทนที่คุณจะช่วยกันรณรงค์ มองยังไง?
ทนายรณณรงค์ : "ถ้าวันนั้นมีการใช้ถุงยางอนามัย คนติดเชื้ออาจไม่ติดก็ได้ วันนี้ก็ไม่ต้องมานั่งโหนกระแส ถ้ามองย้อนกลับไปนะครับ มันแปลกตรงไหนที่จะใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรค แต่การไม่ใช้ถุงยางอนามัยนี่สิมันแปลก แต่ถามว่าในคดีเมืองไทยมีนะ ฟ้องร้องติดเชื้อ คือข่มขืนโดยไม่ยินยอมแล้วติดเชื้อ แต่ถ้ายิมยอม ติดเชื้อมาฟ้องร้องไม่ได้นะ"
ตกลงคุณมีความคิดแบบนี้เหรอ ทั้งที่หลายคนมองว่าไม่ถูกแล้ว ?
พีท : "ผมแค่อยากสะท้อนให้เขาเห็นว่าความโกรธแค้นของคนเลือดบวกที่คนเลือดลบกระทำ ดูถูกเหยียดยาม"
ไม่มีคนไปดูถูกเหยียดหยาม?
พีท : "พี่หนุ่มรู้ได้ยังไงครับว่าไม่มีคนดูถูกเหยียดหยาม เพราะผมรู้ว่าทุกวันนี้มีคนเลือดบวกโดนเหยียดหยาม โดนไล่ออกจากการทำงาน โดนด่า โดนไล่ขับจากหมู่บ้าน โดนทิ้งให้ตาย"
ดร.นพ.ปกรัฐ : "ถ้ามีคนดูถูกเหยียดยาม เราต้องช่วยกันรณรงค์ไม่ให้เพิ่มจำนวน ถูกมั้ย"
พีท : "เราควรรณรงค์ให้คนเลือดลบเคารพในความเป็นคนครับ"
ทนายรณณรงค์ : "แล้ววิธีที่พีททำ คิดว่าจะทำให้คนรังเกียจพีทมากขึ้นกว่าเดิมมั้ย ปรากฎว่าคนที่เขาไม่ได้ติดเชื้อแล้วเขาบอกว่าไม่ชอบวิธีการแสดงออกแบบนี้ แล้วมันจะเดินหน้ารณรงค์ยังไง วิธีคิดเอ็นจีโอทั่วไปเลยนะ ต้องมีการสอน"
พีท : "ด้วยความเคารพ ผมพูดในฐานะคนธรรมดา ทำไมคนหนึ่งคนลุกขึ้นมาทำแบบนี้ ทำไมสั่นคลอนกันทั้งระบบแบบนี้"
เขาไม่ได้สั่นคลอน เพราะโครงสร้างสังคมมันเปลี่ยน สั่นคลอนเพราะเขาด่าคุณว่าสิ่งที่คุณทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเผยแพร่เชื้อออกไป?
พีท : "ต้องถามพี่หนุ่มว่าพี่หนุ่มมองกระแสสังคมส่วนใหญ่ถูกหรือผิด ผมไม่เชื่อว่ากระแสสังคมถูกต้องเสมอไป"
ถ้าผมพูดในฐานพ่อของลูก สิ่งที่คุณพูดไม่ถูกต้อง ผมห่วงลูก ห่วงเด็กที่ต้องโตขึ้นมาแล้วมีความคิดแบบคุณที่ว่าอยากปล่อยเชื้อหรือไปบอกว่ามีเพศสัมพันธ์ได้ไม่ติดโรค?
พีท : "ถ้าผมคือลูกของพี่หนุ่ม พี่หนุ่มจะรับมือยังไง"
คงยากถ้ามีลูกแบบคุณ?
พีท : "ก็ใช่ไงครับ"
ดร.นพ.ปกรัฐ : "ที่บอกว่าจะแพร่เชื้อออกไป ให้คนติดเชื้อทั้งหมด ในโลกนี้ไม่มีอะไรดำสนิท ขาวบริสุทธิ์ มันมีสีเทา เพียงแต่เราต้องดึงสีเทาเข้มๆ ให้เป็นสีขาว นั่นคือหน้าที่พวกเรา หมอไม่ใช่เราจะไปพูดว่าเรามีเชื้อแล้วจะทำให้เหมือนเราไม่ใช่ครับ"
พีท : "ผมเชื่อว่าการออกแบบบริการสุขภาพให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคน นั่นคือทางแก้ปัญหาครับ"