น้าโต้เพจดัง โชว์ถุงปุ๋ยที่ถูกกล่าวหาซ่อนร่างชมพู่ แจงใส่ร่างเด็กไม่ได้!

กรณีเพจ "ออยศรีและผองเผือก" ได้ออกมาตั้งข้อสังเกตว่า น้องชมพู่อาจอยู่ในกระสอบหญ้าน้าต่ายและน้าเสริม เพราะสะโพกน้องชมพู่มีรอยคล้ายกับรอยหญ้าบาด ทีมข่าวจึงลองนำกระสอบปุ๋ยของน้าต่ายและน้าเสริม ไปเทียบความสูงกับน้องอาชิ เด็กในหมู่บ้านที่มีส่วนสูงเท่ากับน้องชมพู่ ประมาณ 90-95 เซนติเมตร

ล่าสุดวันที่ 22 ก.ค.63 ทีมข่าวอมรินทร์ทีวี ได้ลองวัดกระสอบปุ๋ยพบว่าความสูงของกระสอบปุ๋ย พบว่ามีความสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ความกว้างประมาณ 40 เซนติเมตร และเมื่อวัดความสูงกับน้องอาชิ พบว่าน้องอาชิมีส่วนสูงกว่ากระสอบเพียงเล็กน้อย ประมาณ 4-5 เซนติเมตร ซึ่งคาดว่าถ้าหาจับเด็กที่มีส่วนสูงเท่าน้องอาชิใส่ในกระสอบนั้นก็สามารถทำได้ โดยบังคับให้เด็กนอนงอตัวอยู่ในกระสอบ ก็จะสามารถจับเด็กขนาดตัวเท่าน้องชมพู่ใส่กระสอบได้

  ทีมข่าวได้จำลองการไปเกี่ยวหญ้าของน้าต่ายและน้าเสริม โดยได้ใช้รถมอเตอร์ไซค์ของน้าเสริม นำรถเข็นผูกบริเวณท้าย และมีคนนั่งซ้อนท้ายอีก 1 คน ขับไปยังจุดที่ไปเกี่ยวหญ้า เป็นระยะทางประมาณ 1.1 กิโลเมตร ใช้ความเร็วประมาณ 25-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งขาไปใช้เวลาประมาณ 4 นาที 56 วินาที และได้จำลองการเดินทางขากลับ โดยได้ขับจากจุดที่ไปเกี่ยวหญ้ากลับไปยังบ้านน้าต่ายโดยใช้เส้นทางเดิม ใช้ความเร็วประมาณ 25-30 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยใช้เวลาในการเดินทางกลับ ประมาณ 4 นาที 23 วินาที

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีไปพูดคุยกับนางจุไรภรณ์ สุขพันธ์ หรือน้าต่าย ให้ข้อมูลว่า 

เมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ซึ่งเป็นวันที่น้องชมพู่หายตัวไปนั้น ตนและนายเสริม ผู้เป็นสามี ได้ออกไปวัด GPS สวนมันสำปะหลัง เวลาประมาณ 07.00 น. ออกไปเพียงประมาณ 30 นาที ก็กลับมากินข้าวที่บ้านตอนเวลา 07.30 น.

กระทั่งเวลาประมาณ 08.00 น. หลังจากกินข้าวเสร็จ ตนและน้าเสริม ได้ขี่รถมอเตอร์ไซค์โดยมีรถเข็นพ่วงท้าย ขับออกจากบ้านไปเกี่ยวหญ้าแถวบ้านผู้ใหญ่บ้าน ก่อนจะเกี่ยวหญ้าได้พูดคุยเล่นที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน ประมาณ 30 นาที โดยมีผู้ใหญ่บ้าน ภรรยาผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านอีก 3 คน คือลุงฤทธิ์กับภรรยา และลุงลำไพ นั่งคุยอยู่ด้วย เล่นกันอยู่พักใหญ่ และไปเกี่ยวหญ้าประมาณ 08.30 น. โดยเดินห่างจากถนนลูกรังที่จอดรถประมาณ 200 เมตร ซึ่งตนและน้าเสริมเกี่ยวหญ้าประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ จนเกี่ยวหญ้าได้ทั้งหมด 4 กระสอบ และได้กลับมาที่บ้าน จำได้ว่าถึงบ้านเวลา ประมาณ 09.50 น.

เมื่อกลับมาถึงบ้านตนได้รออยู่ที่บ้าน ส่วนน้าเสริมได้ขี่มอเตอร์ไซค์ลากรถเข็นเอาหญ้าไปให้วัวกินที่หน้าบ้านของยายจำลอง โดยห่างจากบ้านของตนประมาณ 100 เมตร และน้าเสริมก็กลับมานั่งวาดแผนที่ GPS เพื่อจะส่งให้ทางสำนักงานเกษตรอำเภอ ไม่นานัก ป้าแต๋น ภรรยาลุงพลก็ขี่มอเตอร์ไซค์มาถามว่าเห็นน้องชมพู่หรือไม่ ในเวลาประมาณ 10.00 น. ซึ่งตนและน้าเสริมก็บอกไม่เห็น และลองเดินดูตามถังน้ำรอบบ้านแต่ก็ไม่เจอ และรู้สึกว่าหายไปนานผิดปกติแล้ว และโทรบอกแม่ของน้องชมพู่ว่าลูกสาวหาย ในเวลา 10.10 น.

เมื่อถามใครก็ไม่พบว่ามีรถยนต์แปลกหน้าเข้ามา มีแค่รถขายตู้วิ่งผ่านหมู่บ้านเท่านั้น กระทั่งเวลาประมาณ 11.00 น. ชาวบ้านจึงแนะนำไปหาหมอธรรมให้นั่งดูให้ และก็ไปแจ้งตำรวจไว้ก่อน อย่างไรก็ตามสำหรับข้อมูลทั้งหมด ตนและน้าเสริมได้บอกตำรวจไปหมดแล้ว ซึ่งตนก็ไม่เข้าใจว่าทำไมโซเชียลฯ ต้องมาสงสัย ซึ่งตนและน้าเสริมก็ยืนยันความบริสุทธิ์ เพราะรักน้องชมพู่มาก

นางเฉลียว เชื้อคมตา อายุ 60 ปี ชาวบ้านกกกอก เปิดเผยว่า 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 11 พ.ค.63 ซึ่งเป็นวันที่น้องชมพู่หายตัวไป ซึ่งช่วงที่ตนออกจากบ้านไปพร้อมสามี เพื่อหาหน่อไม้ แต่ตนก็จำเวลาไม่ได้ ซึ่งเมื่อไปถึงบ้านของผู้ใหญ่บ้าน ก็เจอผู้ใหญ่บ้านและเมียผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งตนก็เดินลงไปหาหน่อไม้พักหนึ่ง เดินกลับมาก็เจอน้าเสริมและน้าต่ายขี่รถมอเตอร์ไซค์พ่วงรถเข็นลากมาด้วย สามีของตนก็ทักทายว่า "ทำไมถึงไม่เอาเครื่องตัดหญ้ามาตัด" ซึ่งน้าเสริมก็บอกว่ากลัวเปลือง ซึ่งตอนนั้นตนก็จำเวลาที่แน่ชัดไม่ได้ แต่มั่นใจว่าตอนที่เจอกันนั้นเวลาไม่เกิน 10.00 น. อย่างแน่นอน

นางเฉลียว กล่าวต่อว่า ในวันเกิดเหตุนั้น ตนไม่เห็นว่าน้องชมพู่จะมาด้วย ส่วนกระสอบนั้น น้าต่ายก็พับกระสอบปุ๋ย 4 ใบ และเหน็บรักแร้มาเพื่อนำไปใส่หญ้า ไม่ได้ถือแบบคลี่มา ซึ่งตนมองว่าเป็นไปไม่ได้ที่ทั้งคู่จะนำน้องชมพู่ยัดใส่กระสอบปุ๋ยดังกล่าว