สว.เสรี ลั่น แกัรัฐธรรมนูญต้องเพื่อปชช.ไม่ใช่นักการเมือง

     รายการ เรื่องลับมาก (NO CENSOR) ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 14.20 - 15.00 น.ทางเนชั่นทีวี ช่อง 22 วันนี้ (9 ต.ค.) ดร. เสรี วงษ์มณฑา เปิดใจสัมภาษณ์ เสรี สุวรรณภานนท์ สมาชิกวุฒิสภา กรณีการชุมนุมวันที่ 14 ต.ค. จะม้วนเดียวจบหรือไม่ และการแก้รัฐธรรมนูญ สว.จะว่าอย่างไร

เมื่อก่อนเขาเริ่มจากนักศึกษาปลดแอก ตอนนี้กลายเป็นคณะราษฎร์ 63 ทำไมต้องเปลี่ยนชื่อ

จริงๆ ก็อยู่ที่เจตนาของเขา เพียงแต่ว่าชื่อคณะราษฎร์เป็นชื่อที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่2475 เขาก็คงหยิบยกประเด็นชื่อมาเชิญชวนให้คนเข้าไปร่วม

อันนึงที่เขาเรียกร้อง เขาต้องการให้นายกฯ ลาออก ในสายตาสว. นายกฯ ทำอะไรผิดพลาด ถึงขั้นอยู่ต่อไม่ได้ จะฉิบหาย ลงเหว เพราะอะไร

ถ้าให้ลาออกก็ต้องมีเหตุมีผล ถ้ามีการกระทำหรือสิ่งใดที่ประชาชนรับไม่ได้ ทำแล้วผิดกฎหมาย ทุจริต คอรัปชั่น ลุแก่อำนาจ ผมว่าก็จะเป็นเรื่องที่หยิบยกขึ้นมาขับไล่กัน

เขาว่าอยู่มา 6 ปีไม่เห็นทำอะไรเลย ทำให้ประเทศชาติเสื่อมถอย ออกไปได้แล้ว

มันอยู่ที่ใครพูด ถ้าคนไล่พูด คนไม่ชอบพูดก็พูดแบบนี้ แต่ถ้าไปถามคนส่วนใหญ่ในประเทศ ผมเชื่อว่ายังดูที่ผลงาน อันดับแรกคือบ้านเมืองสงบเรียบร้อย ถึงแม้ใช้ระยะเวลาช่วงนึง 5-6 ปี ผมว่าประชาชนเรียนรู้กับสภาพปัญหา 10 กว่าปีที่ผ่านมาเราสับสนอลหม่าน วุ่นวายตลอดเวลา หาความผาสุขไม่ได้ พอท่านนายกฯ เข้ามาแก้ปัญหา บ้านเมืองสงบ ประชาชนพึงพอใจแน่นอน สองถ้าดูตามผลงานที่เกิดขึ้น ท่านก็พยายามแก้นะ อาจมีจุดนึงที่แก้ยากคือเศรษฐกิจ แล้วไม่ได้เพิ่งมาเกิดในยุคนี้ มันเป็นมานานและทั่วโลก ประเทศไทยก็เกิดขึ้น และพูดประโยคนี้เรื่อยๆ ถ้าจะไล่นายกฯ ผมว่าต้องมีเหตุผลมากกว่านี้ เหตุผลมันน้อยมาก

เขาบอกว่าต้องมีการปฏิรูปสถาบัน อานนท์บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ประชาชนจะมาชุมนุมก็เรื่องนี้แหละ

ผมว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยหรอก ดูจากสิ่งที่เขากำหนดประเด็น นัดชุมนุมแสดงออก พอพูดเรื่องสถาบันขึ้นมา คนถอยเยอะ ประชาชนก็ไม่ร่วม มีแค่บางส่วนที่ออกมาแสดงพฤติกรรมเหล่านี้

เขาบอกจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ตกลงเขาจะปฏิรูปหรือล้มล้าง

สิ่งที่แสดงออกมันทำให้กังวล น่าห่วงใย ว่าจะไปสุดซอย ไม่ใช่เสนอแค่ปฏิเสธอย่างเดียว อันนี้แหละสิ่งที่สมาชิกวุฒิสภาในชุดปัจจุบันพึงระมัดระวัง และมีเป้าหมายสำคัญ มีภารกิจสำคัญคือปกป้องสถาบัน

เขาบอกจะมามืดฟ้ามัวดิน คิดว่าจะเข้าเป้ามั้ย

ถ้าเทียบกับวันที่ 19 ก.ย. ที่ผ่านมา วันนั้นก็พูดแบบนี้ และถ้าหยิบยกเรื่องสถาบันขึ้นมา ผมไม่เชื่อว่าคนไทยจะเข้ามาร่วม ที่บอกว่ามืดฟ้ามัวดิน ผมไม่เชื่อ

ทำไมนักเรียน นักศึกษา ถึงลดหายไป

นักเรียน นักศึกษาเขามีสังคมของเขา มีขบวนการติดต่อกันระหว่างนักเรียนโรงเรียนต่างๆ และโซเชียลปัจจุบัน สามารถส่งได้โดยง่าย เวลาออกไป นักเรียน นักศึกษา ผมเชื่อว่าเขาหวังดี เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายหรอก มีกลุ่มหรีด กลุ่มผู้นำ พอเข้าไปแล้ว บางทีความเป็นเพื่อนเป็นพวกกันมี แต่เวลาผ่านไป จะเห็นว่านักเรียน นักศึกษา จะได้รับการอธิบายจากผู้ใหญ่ พ่อแม่คนในครอบครัว แม้แต่โรงเรียน เขาก็อธิบายว่าอะไรถูกผิด อะไรควรไม่ควร เราเป็นผู้ใหญ่เราเห็นถึงปัญหา อย่าไปผลักเขาออก ควรให้ข้อมูลที่ถูกต้อง และผมเชือว่าเด็กเหล่านี้เขารับฟัง ซึ่งพอถึงเวลาร่วมกันมากๆ นักเรียนเหล่านี้ก็ถอยไปเยอะ ผู้สูงวัยก็มาจากกลุ่มเก่าๆ กลุ่มที่เคยเรียกร้องไม่เอารัฐบาล ก็เป็นฝ่ายการเมืองย้อนกลับมาอีก

การชุมนุมวันที่ 19 ก.ย. พรรคเพื่อไทยตั้งเต็นท์หนุนเต็มที่ แต่สุดท้ายก็พับเต็นท์กลับไป อยากรู้ว่าในวันที่ 14 ต.ค. ท่าทีเพื่อไทยเป็นอย่างไร วิเคราะห์อย่างไร

ผมมองว่าพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่มีเหตุผล เขามีจุดยืนชัดเจน ถ้าเรื่องการเมืองเห็นคนละฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา หรือถ้ารัฐบาลคิดอย่างนึง ส่วนใหญ่เพื่อไทยไม่รัฐบาลก็ฝ่ายค้าน กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ เพื่อไทยเขามีเหตุผล มีหลักการ แต่พอช่วงหลังๆ ในกลุ่มผู้ชุมนุม หยิบยกเรื่องปฏิรูปสถาบัน และพูดจาจาบจ้วงล่วงละเมิด ทำให้สถานบันเสียหาย หรือเสื่อมศรัทธของพี่น้องประชาชน เพื่อไทยเขาก็ไม่เอา ผมว่าถ้าเรื่องสถาบันเขาพยายามไม่แตะต้อง เพราะเขาก็รักและเคารพเหมือนกัน ตอนนี้สังเกตสิ พอมีเรื่องแบบนี้ปั๊บ กลุ่มเสื้อแดงเขาก็บอกว่าจะไม่ร่วมแล้ว จะไม่มา อันนี้ก็ถูกต้อง

วันที่ 14 ในหลวงต้องเสด็จไปวัดพระแก้ว บนเส้นทางถนนราชดำเนิน ซึ่งตร.ก็ขอร้องดีๆ ว่าอย่าขวางทางเสด็จ เขาบอกว่าถ้าชาวบ้านผ่านได้ ขบวนเสด็จก็ต้องผ่านได้ มองยังไง

พูดงี้ก็ไม่ถูก เป็นเรื่องของเจตนาร้าย เจตนาไม่ดี ผมว่าถึงเวลาจริง เจ้าหน้าที่เขาจะแก้ปัญหาได้ ผมว่าแค่คำพูดคนบางกลุ่มเท่านั้นเอง

ห่วงจะมีภาพรุนแรงระหว่างตร.กับผู้มาชุมนุมมั้ย

ก็ห่วงอยู่ เพราะบางทีการแสดงออกยั่วยุมันเกินเลยไป แต่ผมเชื่อว่าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเขารู้เรื่องอย่างนี้ และเขารู้ทัน เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ใช้ความรุนแรง

กำหนดการเขา เขาบอกเขามาก่อน ขบวนเสด็จมาก่อนทีหลัง คนมาก่อนต้องได้ก่อน คนมาทีหลังต้องถอยไป

คือแค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะอย่างที่เรียนว่าเรื่องสถาบันเป็นเรื่องที่เราเคารพ เทิดทูน ให้เกียรติ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องชุมนุม เรียกร้อง ผมว่าถึงเวลาก็ทำไม่ได้ ก็เป็นเรื่องการใช้วาทกรรม เพราะบริบท พื้นฐานที่ผ่านมา ต้องไปศึกษาให้รู้แท้รู้จริง ไม่ใช่เพิ่งเกิดช่วงนี้ แล้วเอาความคิดตัวเองเป็นหลักใหญ่ เป็นเสรีภาพ อันนี้เรียกว่าเสรีภาพส่วนบุคคล แล้วมาเรียกร้องเสรีภาพส่วนรวม อย่างนี้คิดผิด ประชาชนทั่วไปก็ต้องรู้ทัน ว่าที่เรียกร้องเสรีภาพต่างๆ เป็นเสรีภาพส่วนบุคคล และทำให้คนอื่นเสียหาย มันไม่ใช่เสรีภาพด้วยซ้ำไป

เดี๋ยวเขาก็เทียบกับ 6 ต.ค. 19 เดี๋ยวก็เทียบกับ 14 ต.ค. 16 เทียบได้มั้ย

มันคนละเรื่องเลย ปี 16 นักศึกษาแสดงออกซึ่งประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เรียกร้องในส่วนผู้ปกครองประเทศให้ออกจากตำแหน่งไป แต่ปัจจุบันนี้ต้องดูว่าผู้บริหารประเทศช่วงนี้กับช่วงที่แล้ว เหตุผลการเรียกร้องคนละเรื่อง ถ้าหากเป็นเรื่องที่รัฐบาลทำไม่ชอบธรรม ทำไม่ถูกต้อง ก็สมควรต้องไล่ ส่วนรัฐบาลปัจจุบันแม้จะเข้ามาช่วงวิกฤต แต่ต่อมามีการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านมติประชาชน และในสภาเองก็เลือกพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ฉะนั้นที่มาบอกว่าไล่เผด็จการ มันเผด็จการตรงไหน ช่วงหลังเปลี่ยนไปหมดแล้ว ก็พยายามใช้ถ้อยคำ หาเรื่องหาราวอยู่ตลอด

ผบ.ทบ. คนใหม่บอกว่าเรื่องปฏิวัติเป็นศูนย์ อย่ามาสร้างเงื่อนไข วันที่ 14 จะเป็นการสร้างเงื่อนไขได้มั้ย

ผมก็ยังไม่รู้ แต่การชุมนุม ถ้าไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่จาบจ้วงสถาบัน ไม่ดูหมิ่นเบื้องสูง ผมว่าก็ทำกันไป เขาทำกันทั่วโลก

คุณอานนท์พูดว่าถ้ามีการทำรัฐประหาร แล้วในหลวงทรงลงพระปรมาภิไธย ให้รัฏฐาธิปัตย์แก่คนทำรัฐประหาร เขาบอกว่าจะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับสาธารณรัฐ คิดยังไง

คิดผิด พูดผิด แสดงออกในสิ่งที่ผิดๆ คุณอานนท์เรียกร้องอะไร เรียกร้องตลอดต้องการเสรีภาพ ต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วก็บอกว่าอย่าข่มขู่ บีบบังคับใคร ไปๆ มาๆ ตัวเองทำหมดทุกอย่าง ออกรายการเวทีเขา เอ่ยชื่อผมนามสกุลชัดเจน ด่าผมชัดเลยนะ (หัวเราะ) อย่าไปให้ความสำคัญ เพราะเราถือว่าทุกคนจะพูดอะไรต้องรับผิดชอบในคำพูดตัวเอง พูดแล้วใครเสียหาย ผมเสียหายผมก็ขึ้นบัญชีไว้ อย่าคิดว่าจะไปว่าใคร ก้าวล่วงใคร หมิ่นประมาทใคร วันนี้ผมอาจไม่ดำเนินคดี แต่อนาคตไม่แน่ ถ้ายังก้าวล่วงกันอยู่เรื่อยๆ

มีข่าวลือว่าสว.จะล้มทั้ง 6 ญัตติที่เข้าไป มีกระแสนี้จริงหรือเปล่า

(หัวเราะ) ที่ผ่านมาจะเห็นได้ ตอนอภิปรายในสภา สว.อภิปรายได้ชัดเจน ทั้ง 6 ญัตติล้มแน่ๆ ไม่ใช่ข่าวลือ เพราะฝ่ายรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาลเขาเห็น เขาก็กลัวญัตติเขาจะตก เขาเลยรีบเสนอตั้งกรรมาธิการมาคุยกันซะ นี่เป็นที่มา ไม่ใช่ยื้อให้ชักช้ายืดยาด แต่สาระสำคัญคือวันนั้นสว.เห็นว่าการเสนอ 6 ญัตติเป็นประโยชน์แค่นักการเมือง ไม่เป็นประโยชน์แก่ชาวบ้าน ถ้ามีสสร.แล้วก็ห่วงว่าจะไปเขียนอะไรมาแล้วไปกระทบ เพราะยังไม่ได้คุยกันว่าจะเอาแค่ไหน โอกาสล้มสูง

ของไอลอร์เขาบอกว่าสสร. แม้แต่คนที่โดนตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็สามารถเป็นสสร.ได้ แปลว่าเขาจะเปิดโอกาสให้ใครคนใดคนหนึ่งหรือเปล่า

เป็นไปได้ คุณสมบัติคนเป็นสสร. เขาไม่ได้จำกัดอะไรมาก ฉะนั้นคนที่มีความคิดในแนวทางต่อต้านรัฐบาล หรือมีแนวคิดสร้างปัญหาให้บ้านเมือง คนเหล่านี้มีโอกาสจะเข้ามา

เห็นว่าเขาจะให้เด็กนักเรียนอายุ 18 เข้ามาด้วย

เขาก็ให้โอกาส มีตัวแทนนักศึกษามา แสดงให้เห็นว่าใจกว้าง ไม่ได้มองแค่ผู้ใหญ่อย่างเดียว

ระหว่างไม่แก้เลย แก้บางมาตรา ไม่ตั้งสสร. กับตั้งสสร. คิดว่าจะไปทางใด

ผมว่าสังคมโดยรวมตอนนี้ ไม่ได้คิดถึงแก้รัฐธรรมนูญ สังคมโดยรวมคำนึงถึงปากท้อง เศรษฐกิจเรื่องความอยู่รอด แต่รัฐธรรมนูญที่มาเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นเรื่องนักการเมือง หรือคนในกลุ่มการเมืองเขามาเรียกร้อง แต่จะบอกว่าแก้หรือไม่แก้ รัฐธรรมนูญเขาก็ไม่ได้บอกว่าห้ามแก้ เขาก็มีหมวดให้แก้ไขได้ แต่การแก้ไขมีกลไก ระบบวิธีการซับซ้อน การแก้ได้มีหลายฝ่าย ฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน ฝ่ายสว. ภาคประชาชน คนที่จะแก้รัฐธรรมนูญเหล่านี้ ผมเชื่อว่าคนเขียนรัฐธรรมนูญเห็นสภาพปัญหาที่ผ่านมา ว่าเราทะเลาะกันในเรื่องรัฐธรรมนูญมาหลายเที่ยว ต้องฉีกและยกเลิกไป รัฐธรรมนูญปี 60 ในปัจจุบันเขาเลยเขียนกระบวนการที่แก้ไขยาก ไม่ใช่แก้ไม่ได้ ถ้าจะแก้นอกจากใช้เสียงกึ่งนึงของสภาแล้ว ในกึ่งนึงของสภานั้น ต้องมีสว.อย่างน้อยหนึ่งในสาม 84 คน ต้องมีเสียงฝ่ายค้าน 20 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจะแก้จริงๆ ต้องมาดูเนื้อหา เช่น ปัญหาเรื่องอะไรที่พูดว่าแก้รัฐธรรมนูญแล้วเศรษฐกิจดี เสนอก่อนสิแก้ยังไง ไม่ใช่พูดลอยๆ หรือการเลือกตั้งมีปัญหา การใช้บัตรใบเดียว หรือสองใบ ก็มาคุยกันให้ตกผลึก ส.ส. นี่ยังไง ยังคงมีอยู่มั้ย หรือจะส.ส.เขตอย่างเดียว หรือสว.จะมีมั้ย หรือสว.จะมาแบบไหน พูดให้มันชัดๆ

เขาบอกสว.ยื้อให้ได้ 4 ปี เพื่อรอวันกลับมาโหวตนายกฯ รอบ 2

คือ 5 ปีก็จริง แต่สว.มีไว้แก้วิกฤต หมายถึงถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมาที่หาทางออกไม่ได้ สว.ถึงมีบทบาท ถึงแม้จะเขียนว่าให้สว.มีส่วนร่วมเลือกนายกฯ ก็ตาม อาจารย์ดูคราวที่แล้วสิ เลือกคราวที่แล้วแม้กำหนดว่าสว.มีส่วนเลือกได้ แต่เสียงของส.ส. ก็ต้องเกินครึ่งสภา เขาก็ได้อยู่แล้ว ดังนั้นที่หยิบยกมาว่าสว.มีอำนาจเลือกนายกฯ ได้ทำให้ไม่ประชาธิปไตย ไม่ใช่หรอก เขาเขียนเอาไว้เพื่อแก้ปัญหาวิกฤต ตอนที่หาทางออกไม่ได้คราวที่แล้ว แต่ในสภาพการณ์จริงๆ เขาก็ยังให้นายกฯ มาจากส.ส. ด้วยเสียงเกินกึ่งหนึ่ง ถ้าไม่เกินกึ่งนึงของส.ส. มันทำงานไม่ได้ ฉะนั้นเวลาหยิบยกเรื่องพวกนี้มา ทำให้ประชาชนสับสนว่าสว.อำนาจเยอะเลือกนายกฯ เลือกจริงแต่การเลือกอยู่ในกลไกระบบที่ต้องเป็นไปได้ เพื่อให้รัฐบาลอยู่ได้ สภาอยู่ได้

เครดิตแหล่งข้อมูล : รายการ เรื่องลับมาก