ถกสนั่น! นายกฯ ออก-ไม่ออก จบอย่างไรการเมืองไทย หลังประชุมสภาสมัยวิสามัญ
ดร.เจษฏ์ : "เป็นไปได้แน่นอน 3 นี่เป็นแน่ 4 ณ ขณะนี้ก็มีโอกาสเป็นไปได้ เพียงแต่ว่า 4 จะมีกลไกอีก 2 ส่วนที่เป็นประเด็นปัญหาสักนิด คือกลไกผู้เรียกร้องอยู่ภายนอกสภา กลไกผู้ทรงคุณวุฒิยังไงก็หาได้ แต่กลไกนอกสภา เนื่องจากมีจำนวนมาก การหาตัวแทนท่านเข้ามา จะเอาเข้ามากี่มากน้อย ถ้าเอาลักษณะความคิดเห็นแบบไหน และความเห็นที่เหมือนหรือต่างถ้าเข้ามาอยู่ในคณะกรรมการ ข้างนอกจะยุติหรือจะเพลา หรือจะทำประการใด เพื่อให้ข้างในสามารถดำเนินการได้อย่างแท้จริง ผมว่าอันนี้ยังเป็นประเด็นอยู่"
ดร. ยุทธพร "มันคงเป็นเรื่องที่ยาก โลกโซเชียลมีเดียไม่มีกฎหมายใดๆ ไปควบคุมได้จริงๆ แม้ตอนนี้จะมีกฎหมายมากมาย แต่เอาเข้าจริงโลกอินเตอร์เน็ตพรมแดนกว้างขวางกว่าเขตแดนของรัฐเยอะ และรัฐก้าวเข้าไปไม่ถึงเท่าไหร่นัก"
ดร.เจษฏ์ : "ผมคิดว่าอยู่ที่กระบวนการและเนื้อหา กระบวนการ ณ ขณะนี้จะทำยังไงให้สสร.มีพื้นที่ทำให้บรรดาคนทั้งหลายที่อยากเข้ามามีส่วนร่วมในสสร. เข้ามามีส่วนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สมมติเลือกตั้งสสร.หมดเลย ต้องเป็นสูตรที่ฝ่ายค้านเสนอ แต่ถ้าเอาสสร.นี้มายกร่างรัฐธรรมนูญ ก็ต้องคิดดูว่าจะเสียเวลามั้ย จะช้ามั้ย ต้องมีคนมีความรู้ เชี่ยวชาญ และมีลักษณะสิ่งที่สามารถจัดวางได้เลย และให้สสร.เป็นคนพิจารณามามั้ย และอาจร่างรัฐธรรมนูญแบบเรียลไทม์ก็ได้ ก็เปิดเฟซไลฟ์ สสร. อภิปรายกันยังไง คนร่างรัฐธรรมนูญร่างกันแบบไหน คนข้างนอกได้ฟัง ได้ยิน จะตัดสินใจยังไง หรือจะหารือแสดงความคิดเห็นยังไงทำไปเลย"
"แต่สิ่งที่เป็นประเด็นในเนื้อหาข้างนอกที่บอกว่าจะปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็อย่างที่เรียนแล้ว ถ้าจะปฏิรูปการปกครองประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขภายใต้รัฐธรรมนูญพอเป็นไปได้ ก็ต้องมาคุยกันว่าหมวด 1 หมวด 2 ถ้าจะแก้ไขเพิ่มเติมบททั่วไปซึ่งขณะนี้มี 5 มาตรา จะแก้ไขเพิ่มเติมอย่างไร ก็ว่ามาในรายละเอียด เพราะสองหมวดนี้ โดยเฉพาะหมวดสอง พระมหากษัตริย์ มีความอ่อนไหวสูงมาก ต้องบอกรายละเอียดมาให้ชัดเจน แบบนี้แหละจะได้รับการยอมรับว่าประชาชนมีส่วนร่วม เนื้อหาเป็นเนื้อหาที่ทุกๆ ส่วน ไม่ใช่เอาแค่ฝั่งผู้เรียกร้องหรือฝั่งใดฝั่งนึง แต่เอาประเด็นที่สังคมไทยพอพูดคุยกันได้ แล้วหาทางออกได้ แบบนี้ท้ายที่สุดเมื่อประชามติผ่านก็ควรจบแล้วเรื่องรัฐธรรมนูญ เพราะกระบวนการและเนื้อหาน่าจะตอบโจทย์ทุกคนแล้ว ในระดับที่พอยอมรับร่วมกันได้ ไม่ใช่ในระดับที่ทุกคนพึงพอใจ เป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดถ้าอยากให้มีการเลือกตั้ง ก็เลือกตั้งกันไป ท้ายที่สุดผลออกมาเช่นไร ใครเป็นพรรคได้คะแนนมากที่สุดมีสิทธิ์จัดตั้งรัฐบาลเป็นอันดับแรก ถ้าจัดไม่ได้ก็ไปสองสามตามระบอบประชาธิปไตย ลำดับหนึ่งก็จัดไปก่อน จัดไม่ได้ค่อยเป็นสอง สองไม่ได้ค่อยเป็นสาม ไล่เรื่อยไป ท้ายที่สุดพอได้รัฐบาลใหม่มันควรจะจบ ถ้าไม่จบคิดว่าคนที่ไม่ยอมจบ น่าจะเป็นปัญหาแล้วล่ะ"
ดร. ยุทธพร : "การร่างรัฐธรรมนูญใหม่ สสร. ที่จะเกิดขึ้นต้องเปลี่ยนมุมคิดใหม่ ต้องเป็นสสร.ผู้สื่อสาร ต้องไม่ทำให้รัฐธรรมนูญในครั้งนี้กลายเป็นอุตสาหกรรมรัฐธรรมนูญ คือเราร่างรัฐธรรมนูญกันมาจนเป็นอุตสาหกรรม มีสสร. เข้ามาสุดท้ายก็ไม่ได้แก้ปัญหาอะไร ที่สุดจะกลายเป็นรัฐธรรมนูญปี 60 พลัส สิ่งสำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนมุมสสร. ให้เป็นสสร.ผู้สื่อสาร เพราะถ้าไปดูองค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญในอดีตที่ผ่านมา จัดเป็นสามกลุ่ม หนึ่งองค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ไม่ยึดโยงกับประชาชนเลย ผลผลิตรัฐธรรมนูญเหล่านี้ก่อให้เกิดปัญหาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญปี2534 ต่อมาเกิดเหตุการณ์ในปี 35 รัฐธรรมนูญ ปี 50 แล้วเกิดปัญหาปี 57 หรือรัฐธรรมนูญปี 60 ก็เกิดปัญหาอย่างที่เห็น หรือกรณีกลุ่มที่สอง องค์กรผู้ร่างรัฐธรรมนูญที่ยึดโยงประชาชนบางส่วน ทำให้ภาพการเมืองลุ่มๆ ดอนๆ อย่างเช่นสสร.ปี 2540 เรามีรัฐธรรมนูญที่ทำให้การเมืองเข้มแข็ง แต่ฝ่ายการตรวจสอบไม่เข้มข้น ก็เกิดรัฐประหารปี 49 เป็นต้น ถ้าครั้งนี้สสร.จะมาจากการเลือกตั้งทั้งหมดก็จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ไม่เคยมีสสร.ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน แล้วตรงนี้เลือกมาแล้วทำไงไม่ให้เกิดความเป็นตัวแทนนักการเมือง ถูกล็อกโหวต หรือถูกเรื่องการเข้าไปแทรกแซงของรัฐ สสร.ต้องใช้หลักประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วมและออกไปเปิดพื้นที่สื่อสารกับสังคม"
วันนี้จะมีกลุ่มปกป้องสถาบันที่รวมตัวกัน กับอีกมุมราษฎร สองกลุ่มมีโอกาสเจอกันมั้ย หลายคนกังวลใจมาก?
ดร.เจษฏ์ : "แนวทางการนัดหมายมีโอกาสเจอกันอยู่แล้ว เมื่อวานที่นัดสถานที่เดียวกันก็เจอกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเจอกันแล้วคงไม่ใช่เรื่องการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น คงเป็นการหยิบยกประเด็นหลักที่ต่างฝ่ายคิดว่าเป็นประเด็นหลักมาโต้มาแย้งกัน ถ้าลุกลามก็อาจมีการปะทะกันได้ ซึ่งตรงนี้เจ้าหน้าที่ก็น่าเห็นใจ เขาก็ทำหน้าที่ ก็ไม่ควรมาบาดเจ็บ หรือถูกกล่าวหาว่าว่าเข้าข้างฝั่งนั้นฝั่งนี้ เพราะมันลำบาก คนชุมนุมสมมติมีจำนวนหมื่น เจ้าหน้าที่มีจำนวนพัน มันก็ต่างกันสิบเท่าอยู่แล้ว เมื่อสองฝ่ายมีแนวโน้มปะทะกัน เจ้าหน้าที่อยู่ตรงกลางก็น่าเห็นใจ บ้านเมืองอยู่บนพื้นฐานที่ทั้งหมดต้องสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ถ้าหาทางออกร่วมกันไม่ได้เศรษฐกิจบ้านเมืองก็จะแย่ไปอีก นอกจากนั้นบรรดาคนสังเกตการณ์อยู่ต่างชาติทั้งหลาย ถ้าถูกม้วนเข้ามาสู่วังวนนี้ก็เป็นผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ ปะทะอาจเกิดการปะทะ แต่อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลย ต่างคนต่างอยู่ดีกว่า"
ดร.เจษฎ์ : "ถ้าปะทะกัน ก็อาจเดตล็อก เจ้าหน้าที่หรือผู้ชุมนุม ผมว่าตอนนี้ยังไม่เดตล็อก ก็อย่าทำให้เดตล็อก ไม่งั้นต้องปฏิวัติรัฐประหารอีก พอถึงเวลาร่างรัฐธรรมนูญก็ร่างแบบตั้งคณะร่างรัฐธรรมนูญไม่ได้ยึดโยงกับประชาชนจริง พอเขียนรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้ยึดโยงจากความต้องการของประชาชน ก็กลับมาที่จุดเดิม"
อาจารย์มองยังไง?
ดร. ยุทธพร : "ตอนนี้ไม่ถึงเดตล็อกหรอก แต่การเคลื่อนไหวของมวลชนจำนวนมาก ก็เกิดผลข้างเคียง ก็อาจเป็นการปะทะกันระหว่างกลุ่มผู้ชุมนุมสองกลุ่ม ที่จุดยืนอุดมการณ์ต่างกัน เรื่องการหยิบยกเรื่องเจ้าหน้าที่มาเปรียบเทียบ เป็นประเด็นที่ถูกทำให้ซับซ้อนมากขึ้น โอกาสที่จะเกิดมวลอนาธิปไตยมันเป็นไปได้ วันนี้ต้องทำอย่างไรให้มันดึงมาในระบบเร็วที่สุด เพราะถ้าอยู่บนท้องถนนแบบนี้ ถึงจุดนึงแล้วจะกลายเป็นว่ากลุ่มผู้ชุมนุมแต่ละฝ่าย ไม่สามารถกำกับกันเองได้ รัฐก็ไม่ได้ไปกำกับอะไรได้เลย วันนี้ต้องมีเวทีพูดคุยและสร้างความเข้าใจร่วมกัน แต่แน่นอน ยังแก้อะไรไม่ได้หรอก แต่ข้อเสนอที่บอกว่าให้นายกฯ ลาออกแล้วจะจบมั้ย อาจบรรเทาได้แค่ระยะสั้น เพราะมีเงื่อนปมอื่นๆ ขึ้นมาอีกล่ะ"
อย่างเซ็ตซีโร่ แก้รัฐธรรมนูญก่อน นายกฯ ลาออก ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ไม่มี 250 มาเกี่ยวข้อง?
ดร. ยุทธพร : "คำถามคือแก้รัฐธรรมนูญเร็วที่สุดคือได้เมื่อไหร่ ถ้าแก้เฉพาะมาตรา 256 เป็นไปได้คือธ.ค. แต่ธ.ค.ก็ต้องไปทำประชามติ ทำประชามติถึงตั้งสสร. อีก"
ถ้าเขารอได้ แต่ขอความเป็นจริง ประกาศออกมาก่อน?
ดร. ยุทธพร : "เป็นจุดยืนของแต่ละฝ่าย อย่าลืมว่าเมื่อวานประชุมสภา นายกฯ ก็แสดงจุดยืนแก้ไขรัฐธรรมนูญ สภาก็ยังไม่ฟัง การเมืองในสภาอยู่ในสภาพที่ผมเรียกว่าการเมืองนอกสภาก้าวหน้า แต่การเมืองในสภาล้าหลังไปแล้ว"
ดร.เจษฏ์ : "แสดงความจริงใจก็ต้องทั้งสองฝ่าย และต้องแยกเนื้อหาสำคัญเป็นสองก้อน ก้อนที่หนึ่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายกฯ ลาออก ยุบสภา หรือจะทำอะไรก็ว่ากันไป แสดงความจริงใจในข้อนี้ พูดคุยกันในรายละเอียด แสดงความจริงใจในก้อนที่ 2 คือการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ คิดว่าถ้ามีฝั่งนึงแสดงความจริงใจว่าพอคุยกันได้ เป็นการปฏิรูปประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ภายใต้รัฐธรรมนูญ นั่นแปลว่าคุยกันในกรอบรัฐธรรมนูญได้ รายละเอียดหมวด 1 และหมวด 2 ไหนลองพูดในสิ่งที่เคยบอกว่าเป็นความฝันซิ ที่บอกว่าอยากให้ฝันนี้เป็นจริง เอาความฝันนั้นมาลองคุยซิ นั่นแปลว่าอยู่ในพื้นที่ที่แสดงความจริงใจต่อกัน หาทางออกร่วมกัน ทำยังไงมาพูดคุยเรื่องบ้านเมืองแบบมีสติ ใช้สัปปชัญญะ ไม่ด่าทอว่ากล่าว ไม่เกลียดชัง ไม่ใช้ความรุนแรง ตรงนี้ถ้ามีพื้นที่จริงใจนี้ ถ้าฝั่งรัฐบอกว่าไหนลองคุยสิ หาทางออก ทางฝั่งผู้ชุมนุม ป้ายที่ชู คำที่พูด การกระทำที่ดำเนินการไป ทุกอย่างที่เป็นความรุนแรง ที่พี่น้องอีกส่วนมองว่าจาบจ้วงล่วงเกินก็ต้องแสดงความจริงใจ ที่จะลดละแล้วก็เลิก และหลังจากนั้นมาคุยกันบนพื้นที่ความจริงใจตรงนี้ อย่างนี้พอจะหาทางออกได้ แต่ถ้าผู้ชุมนุมบอกว่าไม่ จะทำแบบที่ทำนี่แหละ แล้วลุกลามบานปลายไปจนกระทั่งเขามองว่าไม่ใช่ เวลาเราเกลียดชังสิ่งใด เราอยากลบล้างสิ่งนั้นออกไป ถ้าลุกลามไปถึงขนาดนั้นและไม่ยอม อีกฝั่งก็บอกว่าฉันก็ไม่ยอมเหมือนกัน มีโอกาสเดตล็อกแน่นอน ต้องแสดงพื้นที่จริงใจสองพื้นที่นี้ให้ได้"
ดร. ยุทธพร "ตอนนี้ต่างฝ่ายต่างไม่มีโอกาสไว้วางใจ ตอนนี้ต้องทำอย่างไรให้ความไว้วางใจกลับมา จะเกิดขึ้นได้คือต้องมีการพูดคุยและทำความเข้าใจร่วมกัน ต้องมีจุดร่วมกันตรงกลาง แต่ละฝั่งจะมีจุดยืนตัวเอง แต่จุดยืนก็ต้องวางไว้ก่อน ไม่งั้นจะเกิดปัญหาเหมือนสัปดาห์ก่อน ที่นายกฯ บอกว่าถอย ปัญหาคือแต่ละคนถอยไม่เท่ากัน ก้าวแต่ละคนไม่เท่ากัน ทำยังไงให้ก้าวแต่ละคนมีจุดร่วม เวทีที่หนึ่งต้องมีเวทีพูดคุยสร้างความเข้าใจร่วมกัน"
ดร. ยุทธพร : "ก็เป็นไปได้ แต่กลไกรัฐสภา ต้องใช้เวลา การแก้มาตรา 272 เร็วสุดสิ้นปีนี้ นี่ไม่ได้แก้ทั้งฉบับนะ"
ถ้าประกาศออกมาก็แสดงความจริงใจ มองแบบนั้นมั้ย?
ดร.เจษฏ์ : "ก็พอได้ จริงๆ หลายๆ เรื่อง อย่างสว.ไม่โหวตนายกฯ ถ้าคุยกันตรงนี้ แล้วไม่ไปเชื่อมกับการลาออกของนายกฯ โดยตรง นี่คือถอยอย่างหนึ่งคือปลดล็อกสว. เรื่องนายกฯ ลาออก ก็ค่อยว่ากัน ไม่ใช่ว่าพอเขาถอยคืบนึง ท่านจะให้เขาถอยศอก พอเขาถอยศอก ท่านจะให้เขาถอยวานึง ก็ไม่สามารถคุยกันได้อยู่แล้ว ต้องคุยเป็นลำดับเลย ถ้าปลดล็อกสว. ตรงนี้ เรื่องนายกฯ ลาออกจะว่ายังไงกัน ต้องคุยเป็นลำดับจะได้เห็นภาพ"
ถ้าแก้ตรง 250 สว. นายกฯ ไม่ออกได้มั้ยเหรอ?
ดร.เจษฏ์ : "จะออกก็ได้ แต่ต้องคุยให้จบทีเดียว ไม่ใช่มาทีละนิดๆ เหมือนแก้ระบบเลือกตั้งดูเสมือนหนึ่งว่าไม่มีอะไร แต่ทุกประเทศที่มีการแก้ระบบเลือกตั้ง จะมีการให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ โดยใช้ระบบที่ได้ออกแบบกันใหม่ นั่นแปลว่าพอแก้ระบบเลือกตั้งเสร็จปั๊บก็มาเรียกร้องต่อ ต้องยุบสภาสิ ต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเมื่อมีระบบใหม่แล้ว มันก็ไม่จบ แต่ถ้าคุยกันตั้งแต่แรก แก้ระบบเลือกตั้งแปลว่าไปเลือกตั้งใหม่นะ เขาก็ต้องคิดว่าเอามั้ย มันจะได้เป็นลำดับๆ จะได้รู้ว่าทางออกท้ายที่สุดคืออะไร"