โฟกัสไปรีวิวรัฐสภา ไม่ว่าจะเรื่องแยกลิฟต์ต่างๆ นานา มองบทบาทเขาที่ไปพูดเรื่องรัฐสภา งบประมาณตรงนั้นสูงมาก ตรงนั้นก็ไม่ดี อันนี้ก็แบ่งแยก มองยังไง
จิรัฎฐ์ :
ก็เป็นสิทธิของน้อง จะมีผลกระทบความคิดเชิงบวกเชิงลบบ้างก็ยิ่งดี อย่างน้อยเราก็จะได้รู้ว่าทำไมเพดานโหว่ ทำไมลิฟต์ถึงขึ้นไม่ได้ ทำไมที่จอดรถหายาก มันก็เป็นเรื่องที่เราจะได้รู้กันทั่วไปการเป็นแบบนี้จะทำให้โฟกัสถูกจับผิดมากขึ้นมั้ย หนึ่งเขามองดูอยู่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล สองเข้าไปก็วิจารณ์รัฐสภา
จิรัฎฐ์ : ผมมองว่าน้องจิตใจแข็งแรงพอที่จะต้านทานเรื่องพวกนี้ได้ ด้วยความที่น้องเป็นดารา เขาเจอเรื่องพวกนี้บ่อยกว่าผมด้วยซ้ำ น้องน่าจะแข็งแรงพอที่จะสู้ได้
อาจารย์คิดยังไง
ผศ.วันวิชิต : ผมว่าพยายามใช้บทบาทความเป็นดาราพูดในสิ่งที่แตกต่างจากดาราท่านอื่นที่ไม่กล้านำเสนอเรื่องราวเหล่านี้ แต่ก็เข้าใจว่าเรื่องวุฒิภาวะและการแสดงออก ถ้าจะใช้ภาษาแดกดันหรือเสียดสีก็ได้ ท้ายสุดที่เขาพูดมาคือสมบัติประเทศ คือรัฐสภา ท้ายที่สุดทุกคนก็ต้องใช้ร่วมกัน ถามว่าทราบมั้ยว่ารัฐสภาไม่เสร็จ มีปัญหา รู้มั้ยปัญหามีอะไรบ้าง แต่ต้องระวังว่าการแสดงออกอาจไม่อยู่ในเวลาอันควรที่ต้องมาบอกว่าตรงนี้เป็นอย่างนี้ หรือเรื่องลิฟต์ที่บอกว่าทำไมต้องแยก ผมก็เคยเข้าไปในรัฐสภา เวลาส.ส. สว.ประชุมมันเร่งด่วนมาก เป็นเรื่องการใช้เวลา ถ้าต้องแวะทุกชั้นมันก็มีปัญหานะ เป็นดราม่าได้ ผมเข้าใจว่าหน่วยงานราชการหลายๆ ที่ บางครั้งก็มีลิฟต์สำหรับผู้บังคับบัญชา เอกชนมีลิฟต์สำหรับซีอีโอ ประธานก็มี มีอยู่แล้วเพื่อความสะดวก เพื่อการประชุม ผมมองว่าเป็นเทคนิคมากกว่า อย่าไปรู้สึกว่าแบ่งแยกชนชั้น
จิรัฎฐ์ : อาจารย์พูดถูก เราประชุมกรรมาธิการหลายคณะ คน 4-5 คณะ วิ่งไปวิ่งมาก็แทบตายแล้ว โหวตจะไม่ทัน แต่ผมคิดว่าก็ไม่ใช่ความผิดที่จะตั้งคำถามแบบนั้น ตั้งคำถามได้ครับ ความเหลื่อมล้ำในสภามีมากกว่านั้นอีก มันเยอะกว่านั้นจริงๆ
คิดว่าจะส่งผลกับความน่าเชื่อถือหรือคนมองโฟกัสอย่างไม่มีอคติมั้ย
ผศ.วันวิชิต : บทบาทที่ผ่านมาของโฟกัสเป็นความน่ารัก ความใส แล้ววันนึงมาสวมบทบาทในมิติหนึ่ง ก็จะมีคนสองกลุ่ม กลุ่มที่ผิดหวังกับบทบาท หรืออีกบทบาท ความคิดก้าวไกล ก็ว่ากันไป มีสองขยัก ตรงนี้พูดง่ายๆ ว่าต้องแบกรับไว้พอสมควร แต่คุณโฟกัสแสดงตัวตนชัดเจนมาก เนื่องจากเข้าสู่วงการบันเทิงในวัยเยาว์ ผ่านการบูลลี่้ ประสบการณ์จะหลอมให้แข็งแกร่ง แต่ทางนึงต้องระมัดระวังว่าหลอมไปแล้วจะก้าวร้าวหรือเปล่า อันนี้เป็นสิ่งที่ทุกคนเป็นห่วง
น้องโฟกัสตั้งคำถามนายกฯ หลายข้อ ข้อนึงคือเงินไปซื้ออันนั้นอันนี้ เอาตู้คอนเทรนเนอร์มา เอารถฉีดน้ำแรงดันสูงมา แล้วไม่มีงบประมาณในการไปช่วยเหลือคน ถึงขนาดต้องมาขอรับบริจาค
ผศ.วันวิชิต : ผมมองว่างบประมาณที่จะจัดเพื่้อใช้ฉุกเฉินติดขัดตามระบบราชการ การขอบริจาคจะเป็นการลดขั้นตอน แผนเผชิญเหตุที่ต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด หลายครั้งหลายคราวทุกรัฐบาลเวลาประสบภัย น้ำท่วมต่างๆ ต้องพูดเป็นกลางแฟร์ๆ ถ้าเป็นเงินฉุกเฉินกระทรวงมหาดไทย รอไปเหอะชาวบ้าน แรงกดดันมันจะมากกว่ามหาศาล ผมเข้าใจว่าพูดได้ รัฐบาลเสียหายแน่นอน ได้อารมณ์คน ได้ความสะใจแน่นอนอยู่แล้ว เพื่อความคล่องตัว มันจะเอามาปนกันไม่ได้ แล้วเงินบริจาคจะไปเร็วกว่า ท้ายที่สุดผมเข้าใจว่าถ้าจะเล่นกระแสให้เป็นและไว ต้องเตรียมตัวเรื่องการค้นข้อมูลไว้บ้าง ถ้าคนที่เขารู้กว่าและเขาโจมตีได้ ตรงนี้จะน่าเป็นห่วง
จิรัฎฐ์ :
ผมคิดว่าสังคมไทยไม่ชอบการตั้งคำถาม เหมือนที่น้องตั้งคำถามเรื่องลิฟต์เมื่อสักครู่ จริงๆ น้องก็ตั้งคำถามทุกเรื่องอยู่แล้ว ถ้าเราบอกว่าหน่วยงานราชการมันช้า ก็ใช่ การบริจาคไปเร็วกว่า แต่เราจะอยู่ในประเทศที่หน่วยงานราชการช้ากว่าเงินบริจาคเหรอครับ เราจะไม่พัฒนาเหรอครับ ทำไมไม่เปลี่ยนคำถามให้มันกลายเป็นเรื่องสร้างสรรค์ขึ้น ถึงเวลาต้องใช้มันก็ต้องใช้ ถ้ามาใช้ทีหลังมันก็ไม่ทันเหตุการณ์