ทิดไพรวัลย์ เผยสาเหตุทำไมต้องสึก? ขอไม่กลับเข้าวงการสงฆ์อีก
รายการโหนกระแสวันที่ 3 ธ.ค. 64 "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ในฐานะผู้ดำเนินรายการ ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 สัมภาษณ์ ทิดไพรวัลย์ ถึงเรื่องราวชีวิตหลังสึก จะทำอย่างไรต่อไป โดยมาพร้อม "พระมหาสมปอง"
ทิดไพรวัลย์ : ก็พระมหาสมปองนี่แหละ ไปโพสต์ประกาศซะขนาดนั้น ว่าวันที่ 4 จะอำลา ผมเลยชิงสึกก่อนวันที่ 3 เพราะถ้าสึกวันที่ 4 สื่อตามอะไรตาม ความเป็นส่วนตัวจะไม่มี
สึกวันนี้จะรอดเหรอ นักข่าวรออยู่เยอะมาก?
ทิดไพรวัลย์ : อย่างน้อยก็รอดมารายการพี่หนุ่มก่อนไงครับ เพื่อพี่หนุ่มเลยนะ รักมาก (หัวเราะ)
พระอาจารย์ปล่อยข่าวลวงหรือเปล่า?
พระมหาสมปอง : ไม่หรอกครับ จริงๆ ท่านบอกว่า 4 หรือ 5 ธ.ค. หรืออาจจะเร็วกว่านั้น ไม่ได้เป็นลับลวงพรางอะไร น้องก็งอนหลายอย่างว่าไปพูดทำไม จริงๆ แล้วเขาก็ตัดสินใจของเขาเอง
สึกแล้วยังเป็นมหา?
พระมหาสมปอง : ใหญ่ยาวคับชักออกยาก ใหญ่คือใหญ่ ยาวคือยาวไปเรื่อยๆ สึกแล้วก็ยังเรียกได้ คับคืออยู่ที่ไหนนักข่าวก็เยอะ คับที่เลย ชักออกยาก คือพ่อมาหา แม่มาหา พี่มาหา แมวมาหา ม้ามาหา เป็นความหมายของคำว่ามหา
ทำไมถึงสึก?
ทิดไพรวัลย์ : เรื่องอื่นไม่ค่อยแคร์เท่าไหร่ แต่แคร์เงื่อนไขที่สำคัญคือแคร์แม่ วันนี้แม่เข้าผ่าตัด แม่อาตมา อุ้ย (หัวเราะ) แม่ผม คัตได้มั้ย
พระมหาสมปอง : ต้องหนึ่งอาทิตย์ถึงจะชินในการแยกศัพท์
ทิดไพรวัลย์ : ไม่ได้แล้ว ต้องขอโทษ ต้องผม จริงๆ วันนี้แม่เข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ก้อนเนื้อมะเร็งใหญ่ ผมก็อยากสึกให้แม่ได้เห็น ได้ชื่นใจ ให้กำลังใจแม่ แม่ผ่าตัดเสร็จจะได้ดูแลแม่ยาวเลย เพราะอาตมาเป็นลูกคนเดียว
18 ปีที่ใช้คำว่าอาตมา วันนี้เป็นวันแรกที่ใช้คำว่าผม ไม่เกี่ยวกับเรื่องอึดอัดเรื่องรักษาการณ์เจ้าอาวาสเหรอ?
ทิดไพรวัลย์ : นั่นก็ประเด็นนึง แต่เป็นประเด็นรอง อย่างที่พระมหาสมปองพูดว่าผมมีแพลนสึกหลายครั้งแล้ว แต่พอมีเรื่องแม่ก็ถึงจุดที่ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกอยู่อย่างนี้หรือว่า.. อย่างที่รู้มะเร็งเป็นโรคที่ยากจะหายขาด แม่เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้ว เราอยากทำหน้าที่ตรงนี้ ถ้าครอบครัวผมมีลูกมากกว่า 1 คน ผมอาจไม่สึก แต่พอไม่เหลือใคร มีแค่แม่กับพ่อ พ่อก็อายุเยอะขึ้น มีแม่ที่ป่วยอีก ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ ก็คงไม่มีใครดูท่านตรงนั้น
มีคนบอกว่าที่สึกเพราะต้องการกลับมาคิดบัญชี เหมือนที่เขียนบอกว่าเริ่ม?
ทิดไพรวัลย์ : เริ่มกลับมาใช้ชีวิตฆราวาสครับ เดี๋ยวเจอกันแน่นอน (หัวเราะ)
พระมหาสมปอง : ศึก ษ. มาแล้ว สอนเท่าไหร่ก็ไม่จำ
ไม่ได้เปิดศึก?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่ได้เปิดศึกกับใคร แค่ถ้าเราพอจะพูดเป็นปากเป็นเสียงแทนคณะสงฆ์ได้ หรือหลวงพี่ที่ถูกรังแกก็จะพูดให้ แล้วผมพูดตรงด้วย พูดในสิ่งที่ควรพูด เราเป็นฆราวาส ชอบพูดกันเหลือเกินว่าพุทธศาสนาไม่ได้ฝากไว้กับพระภิกษุ แต่ฝากไว้กับพุทธบริษัท 4 เดี๋ยวเจอกันนะ
สึกมาเป็นนักวิชาการอิสระ คล้ายๆ อ.จตุรงค์มั้ย?
ทิดไพรวัลย์ : จริงๆ ไม่ได้สึกมาเพราะอยากทำงานวิชาการ อยากเป็นนักวิชาการ แต่เป็นเพราะอยากดูแลแม่ อยากกลับไปบ้าน เราเบื่อ การบวชเป็นพระเราคิดว่าก็ทำให้เราได้ออกขาดจากทางโลกได้มั้ย การบรรพชาเป็นผลทางว่าง ฆราวาสเป็นช่องทางที่มันคับแคบ เราบวชพระดีกว่า แต่ผมมองว่าทางสงฆ์ทุกวันนี้มัน (ถอนหายใจ) มันคับแคบยิ่งกว่าฆราวาส กฎระเบียบมันเยอะ ยิ่งเป็นพระอยู่ในสังคมเมืองที่นอกจากเต้องคารพกฎหมายบ้านเมืองแล้ว ต้องเคารพกฎบัญญัติคณะสงฆ์ โน่นนี่นั่นอีก ทำให้เราไม่สามารถทำอะไร มีความคิดความอ่านเป็นตัวตนเราได้อย่างเต็มที่
การที่ไปบวชมา 18 ปี เห็นอะไรต่างๆ นานา ในวงการพระสงฆ์งี้เหรอ?
ทิดไพรวัลย์ : เห็นหรือเปล่าไม่รู้ แต่ที่สึก คิดว่าคิดถูกแล้ว สึกออกไปดีกว่า
ส่วนนี้ส่วนหนึ่งที่ทำให้สึก?
ทิดไพรวัลย์ : ก็ส่วนหนึ่งที่ทำให้ไม่อยากอยู่แล้ว ซึ่งขอเรียนด้วยความเคารพว่าถ้าพระผู้ใหญ่ที่เป็นเจ้าคณะปกครองเรา ไม่อยู่ในฐานะที่เราจะก้มหัวให้ ไม่มีคุณธรรมมากพอที่เราจะกราบไหว้ได้สนิทมือ ถ้าเป็นพระที่มีคุณธรรมและปกครองเรา ท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านตักเตือนเราแล้วเราอยากเชื่ออยากเคารพ เราก็อยากอยู่เป็นในฐานะพระลูกพระหลาน แต่นี่เรารู้สึกว่าไม่มี คุณธรรมก็ไม่มี ความรู้ก็ไม่มี เรียนก็ไม่เรียน หนังสือก็ไม่เรียน วันหนึ่งจับพลัดจับพลูมาเป็นเจ้าคณะผู้ปกครอง ผมว่ามันไม่ใช่
มีหลายปัจจัยที่ทำให้มหาต้องสึกออกมา คิดว่าจะกลับไปอีกมั้ย?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่กลับครับ
จะอยูยากมั้ย คนนึงเคยบวชพระ 18 ปี วันนึงต้องเปลี่ยนชีวิตเลย?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่ยากครับ ก็เหมือนกับตอนมาบวชใหม่ๆ มีคนพูดว่าอยู่ไม่ได้หรอก ก็อยู่มาได้ถึง 18 ปี ชีวิตคือการไปต่อ คือการมูฟ มันไปของมันได้ ชีวิตมันไม่ตันหรอก
มีคนลือว่าพระมี 300 ล้าน?
ทิดไพรวัลย์ : ดีนะที่ขอโทษ ไม่งั้นฟ้องไปแล้ว บอกช่องมันด้วย ไม่อยากเอ่ยชื่อ ผมขอพูดได้มั้ย (หัวเราะ) ที่จริงตั้งใจจะฟ้องมันแล้ว แต่เวลาฟ้องไปขึ้นศาล คนที่โดนคดี คือนักข่าวตัวเล็กตัวน้อย คนเขียนข่าว ช่องก็ลอยนวลก็ไม่อยากทำ สงสาร แต่เวลาเสนอข่าวอะไร รู้แหละว่าเกลียดไม่ชอบ แต่เวลาจะเสนอข่าว ต้องเสนอบนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่เขียนมั่วซั่ว ส่งเดช
พอเห็นแล้วสะอึกมั้ย เรื่องมีเงิน 300 ล้าน?
ทิดไพรวัลย์ : โอ้โห มันคิดว่าอาตมาเป็นอะไร บวช 18 ปี มี 300 ล้าน เป็นเจ้ามือหวยใต้ดินเหรอ (หัวเราะ)
มีมั้ยพระที่มี 300 ล้าน?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่รู้ อาจมีก็ได้ แต่ไม่ใช่ผมแน่นอน
พระมหาสมปอง : อาตมาเห็นใจนะ ที่มีคนมาบอกว่าอาตมามี 150 ล้าน จริงๆ ด้วยหน้าตา ด้วยความสามารถอาตมา มีแสนล้าน ไม่ว่าจะบัญชีที่สวิตฯ ออสเตรเลีย เยอรมัน อังกฤษ เบลเยี่ยม ไปดูได้เลย
พระอาจารย์จะสึกตามมั้ย?
พระมหาสมปอง : ให้น้องไปดูลู่ทาง ระดับเราไม่ต้องสึกเอง น้องมีระดับสึกเอง ผมต้องมีคนสึกให้ (หัวเราะ)
มีในใจมั้ย?
พระมหาสมปอง : มีพี่ที่อาตมารักและเคารพมาก บอกว่าไม่ให้พูดเรื่องนี้ พี่หนุ่มก็อย่าไปพูด เดี๋ยวโดนพี่สาว ใครต่อใครดุ เกิดอาตมาได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมา จริงๆ พระพูดว่าสึกบ่อยๆ จะไม่ได้สึก อย่างน้องไม่ได้พูดอะไรเยอะ แป๊บๆ ก็ไปแล้ว คนพูดสึกบ่อยๆ จะไม่ได้สึก
มหา รู้จักมานานมาก ปัจจุบันมีทั้งคนรักและไม่ชอบ รู้สึกยังไงบ้าง ที่ออกมาพูดบางเรื่องแล้วทำให้คนไม่พอใจสิ่งที่เราพูด เขาบอกไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ ?
ทิดไพรวัลย์ : สินค้าที่อยู่ข้างหลังจะเข้าอาตมามั้ย (หัวเราะ) เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้วอรี่ ไม่ได้แคร์ การไม่ทำกับไม่กล้า ผมว่ามีเส้นบางๆ กั้น ต้องถามใจคนพูดให้ดีก่อน ว่าที่ไม่ทำเพราะไม่กล้าที่จะทำ หรือไม่กล้าพูด ไม่กล้าคอลเอาต์เพื่อชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อย เพื่อชาวบ้าน คุณไม่กล้า คุณขี้ขลาดกว่าฆราวาสบางคนอีก แล้วคุณมาบอกว่าไม่มีความกล้าหาญ เอาอะไรไปสอนคนอื่นก่อน ขี้ขลาดกว่าฆราวาสอีก
พระมหาสมปอง : ทำไมนั่งเหมือนโดนด่า อาตมาก็ไม่กล้า เราพูดกันในกุฏิ ในรถตู้ ถ้ามาคอลเอาต์ออกสื่อ ออกโหนกระแสก็ไม่กล้าหรอก เราเป็นกระบอกเสียงให้คนจน ไม่มีพระเณรที่ไหนทำ ซึ่งน้องเขาทำ อันนี้ต้องยอมรับ
ตัดสินใจนานมั้ยกว่าจะสึก?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่นานครับ
ไม่เสียดายที่ครองบรรพชิตมานานเหรอ?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่รู้จะเสียดายทำไม ในเมื่อสิ่งที่ผมได้มาจากความเป็นพระ 18 ปีไม่ได้หายไปไหน ก็ยังอยู่ เปรียญเก้าก็ยังอยู่ ความรู้ที่เรียนมาจนจบเปรียญเก้าก็ไม่ได้หายไป เราสามารถปรึกษากันได้ คุยกันได้
พระมหาสมปอง : อาตมาก็ยังไม่รู้ทั้งที่เป็นพี่ ว่าช็อตปึ้ง ตัดสินใจ โยมแม่หรือรักษาการณ์ ช็อตไหน
ทิดไพรวัลย์ : ต้องบอกว่าปัจจัยรวมกัน
ทิดไพรวัลย์ : ที่ปึ้งคือพอรู้ว่าแม่ต้องผ่าตัดวันที่ 3 ผมก็ไปวันนี้เลยดีกว่า จะได้ดูแลต่อเนื่อง
พระมหาสมปอง : แสดงว่าช็อตแม่นี่แหละ ที่ทำให้ตัดสินใจเด็ดขาด
ทรัพย์สมบัติให้วัดหรือเอากลับ?
ทิดไพรวัลย์ : ถ้าของบางส่วนที่ได้มาโดยตัวเราก็เอากลับ อย่างหนังสือเอาไว้ที่วัดใครจะอ่าน เอาไว้ก็ปลวกขึ้น เหมือนพระไตรปิฏก ใส่ตู้ไว้ก็ไม่มีใครอ่าน เอาไว้ทำไมถ้าไม่อ่าน เงินทองก็มี แต่ไม่ได้เยอะหรอกพี่หนุ่ม จริงๆ หลายคนออกมาพูดแล้วนะ ผอ. เลขาธิการ พระพยอมก็พูดได้ ได้เฉพาะที่มีจริงๆ กับช่วงที่มีพระมหาสมปองนี่แหละ ที่ออกมาบรรยายธรรมก็คิดว่าเป็นส่วนของเรา เพราะเป็นส่วนที่เราเอาความรู้เราไปให้คนอื่น และคนอื่นเขาพึงพอใจให้ปัจจัยเหล่านั้นมา แต่ของไม่ได้เยอะขนาดนั้น เขาเอารถมาน่ากลัวมาก
พระมหาสมปอง : น้องฉลาด ประกาศไปปุ๊บมาเลย
ทิดไพรวัลย์ : ตอนนี้มีบริษัทขนของติดต่อมาประมาณ 10 บริษัท
ใส่โสร่งทำไม?
ทิดไพรวัลย์ : นุ่งสบาย ใส่กางเกงชั้นใน พี่หนุ่มจะดูมั้ย (หัวเราะ)
บางรูปสึกออกไปไม่ใส่ เพราะไม่ชิน พระสมปองใส่มั้ย?
พระมหาสมปอง : เพื่ออะไร มันเรื่องส่วนตัวของอาตมา
ทิดไพรวัลย์ : รักษาท่านไว้เถอะ ให้ท่านสำรวม (หัวเราะ)
แล้วที่พี่ศรีสุวรรณเขาออกมาพูดว่าสมบัติต้องคืน?
ทิดไพรวัลย์ : จริงๆ ไม่อยากพูดถึงลุงศรี เราสึกออกมาแล้วอายุก็น่าจะรุ่นหลานแล้ว พูดตรงๆ ว่าไม่ใช่ญาติจริงๆ ไม่อยากถอนหงอกให้ เป็นนักกฎหมายยังไง กฎหมายง่ายๆ ก็ไม่รู้ แล้วจะเรียนกฎหมายไปเพื่ออะไร
ตอนพิมพ์ตอนเป็นพระใช้คำว่าโง่?
ทิดไพรวัลย์ : ก็โง่จริง
ไม่ได้ว่าเขา?
พระมหาสมปอง : ว่านั่นแหละ (หัวเราะ)
พี่ศรีขึ้นว่าขออวยพรให้ไอ้ทิดประสบความสำเร็จ ให้รอดพ้นปลอดภัยจากโอษฐภัยทั้งปวง?
ทิดไพรวัลย์ : ก็อยากให้ลุงศรีมอบพรนี้ให้ตัวเองด้วย เพราะปากลุงศรีก็ใช่ย่อย ฟ้องคนอื่นส่งเดช ฝากถึงลุงศรีในฐานะหลานให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว ฟ้องคนอื่นมั่วซั่ว สักวันตัวเองต้องถูกฟ้องแน่นอน
ทิดไพรวัลย์ : พูดครับ แล้วแอบดูนิดหน่อยตอนลุงศรีพูดในเที่ยงวันทันเหตุการณ์ ฝากถึงลุงศรีเหมือนกันว่าเลิกจองเวรจองกรรมชาวบ้านได้แล้ว การไปฟ้องคนอื่นก็เป็นการไปจองเวรจองกรรมชาวบ้านเหมือนกัน
"ศรีสุวรรณ จรรยา" อยู่ในสาย พี่ศรีอวยพรทิดไพรวัลย์เลย ติดใจอะไรยังไง เขาสึกมาแล้ว?
ศรีสุวรรณ : ไม่มี จะมาหาว่าผมกับท่านมหาไพรวัลย์มีเรื่องขัดใจกันตรงไหน ไม่มี เพียงแต่ว่าความคิดเห็นของเราอาจไม่สอดคล้องต้องกัน ก็แค่นั้นเอง ท่านสึกออกมาแล้วก็ยินดีด้วย และคิดว่าท่านคงใช้ความรู้ความสามารถที่ไปร่ำเรียนมามากมายมหาศาลเอามาปรับใช้กับชีวิต และเอาไปช่วยเหลือสังคม ในฐานะเป็นฆราวาสได้เต็มที่ และคิดว่าจะเป็นคุณูปการอย่างมหาศาลกับสังคมไทย เพราะไม่มีเงื่อนไข ไม่มีข้อกำหนด ไม่มีหลักเกณฑ์อะไรไปคอยกำหนด ไปปิดบังให้ท่านไม่พูดได้หรือไม่ได้เท่านั้นเอง ยินดีด้วยซ้ำไปที่ท่านออกมาเป็นฆราวาส ท่านจะได้ไม่ถูกใครมาค่อนแคะตำหนิติเตียน
ใครคนนั้นคือพี่ศรีหรือเปล่า?
ศรีสุวรรณ : ผมว่าไม่ใช่มั้ง ผมเป็นเศษเสี้ยวเล็กๆ เท่านั้นเอง
ท่านไพรวัลย์อยากเคลียร์ใจมั้ย?
ทิดไพรวัลย์ : หลังจากนี้ลุงศรีจะแล้วมั้ย
ศรีสุวรรณ : ไม่รู้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับท่านมหา อย่างไรเสียผมก็รักท่านมหาเหมือนท่านสมปองนั่นแหละ
ทิดไพรวัลย์ : ทำไมเวลาโพสต์เฟซบุ๊กกับออกสื่อ ลุงศรีมี 2 ปางหรือเปล่า
ศรีสุวรรณ : เป็นคนเดียวกันครับ แต่อยากจะเตือนท่านมหาว่าเวลาเป็นฆราวาส การพูดการจาการใช้คำพูดต้องระมัดระวังค่อนข้างสูงพอสมควร เพราะพูดไปบางทีอาจเข้าข่ายการหมิ่นประมาทบุคคลอื่นได้ ฉะนั้นไปศึกษาเทคนิคการพูดอย่างไรเพื่อไม่ให้ถูกฟ้องเรื่องหมิ่นประมาทได้ ทีนี้มันจะกลายเป็นโอษฐภัยได้ ก็เลยเน้นท่านไว้แค่นั้นเอง
เป็นห่วง?
ศรีสุวรรณ : ใช่ เป็นห่วง ว่างๆ จะเรียนเชิญท่านกินกาแฟที่บ้านสักมื้อสองมื้อ
ทิดไพรวัลย์ : (หัวเราะ) ตั้งแต่ครั้งที่แล้วก็ยังไม่ได้กินฮะ กาแฟบ้านลุงศรี
ศรีสุวรรณ : นั่นน่ะสิ ผมผิดหวังอย่างแรงเลย
ทิดไพรวัลย์ : ขอฝากไว้เรื่องนึงครับ อย่ายุ่งกับพระพี่ชายผมได้มั้ยครับ
ศรีสุวรรณ : ผมไม่ยุ่งอะไรอยู่แล้ว ผมก็โพสต์ก่อนหน้านี้ว่าไม่เห็นด้วย ให้สิกขาลาเพศออกมา
ศรีสุวรรณ : มีท่านเสรีพิสุทธิ์ ฟ้องผมคดีเดียวเท่านั้นแหละ ไม่มีปัญหา เราเป็นนักกฎหมาย อยู่ในสังคม ต้องมีเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว
แสงยังมี ดับหรือยัง?
ศรีสุวรรณ : ไม่ๆ เรื่องนี้ยังเจิดจ้า
แสงในตัวยังเจิดจ้า?
ศรีสุวรรณ : พี่กำลังจะว่าผมหรือเปล่า (หัวเราะ)
ไม่มีอะไรกับทิดไพรวัลย์?
ศรีสุวรรณ : ไม่มี โอกาสว่างๆ จะเชิญท่านมาจิบกาแฟ ทานข้าวเที่ยงด้วยกัน
ชาวเน็ตวิจารณ์ว่าพี่ศรีเก่งแต่ในโซเชียล พอตัวจริง เหมือนอ่อนเลย?
ศรีสุวรรณ : ไม่อ่อน ปกตินิสัยผมก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้ว
เป็นคนสองบุคลิก?
ศรีสุวรรณ : ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ
ทิดไพรวัลย์ : ไม่มีอะไรตอนออกรายการ แต่มีอะไรทุกทีบนหน้าเฟซบุ๊ก
จะทำอะไรต่อ?
ทิดไพรวัลย์ : ก็คิดว่าเพจที่เรามีคงไม่สูญเปล่า ใช้เป็นพื้นที่ของเราที่จะทำอะไรเพื่อเลี้ยงชีพเราได้ ทำงานออนไลน์ก็ได้ มีคนอินบ็อกมาให้รีวิวเยอะแยะ
ต่อไปจะเป็นนักรีวิว?
ทิดไพรวัลย์ : ก็ได้ แต่ต้องดูว่าอันไหนพอเหมาะ มีทีมกรองว่าอันไหนถูกกฎหมาย ไม่ถูกกฎหมาย พูดได้แค่ไหน
กังวลใจมั้ย ก่อนหน้านี้ไลฟ์เพราะคนติดตาม หนึ่งเป็นพระมีความแปลกใหม่ แต่พอไม่ได้เป็นพระ จุดขายจะหายไป?
ทิดไพรวัลย์ : คิดว่าคนจำนวนไม่น้อย ติดตามผมเพราะความเป็นตัวเองของผม ตอนนี้ไลฟ์มีคนกดถูกใจ 2 ล้าน กดติดตาม 2.6 ล้าน ต่อไปจะดูเรื่องโซเชียลเป็นหลักในการทำงาน ช่วยทุบศาลแทนหมอปลาได้ ช่วยอ้วกแทนได้ (หัวเราะ) ฝากถึงพี่หมอปลา ต่อไปไม่ต้องอ้วกแล้ว ผมอ้วกแทน (หัวเราะ) เดี๋ยวจะไปหาหมอปลา
ทิดไพรวัลย์ : (หัวเราะ) น่าจะเป็นปลากระป๋องหมอปลา ดีมาก
พระมหาสมปอง : ไลโอต้องเข้าแล้ว กรรชัยต้องกำเนิดผมให้น้องอาตมา
ทิดไพรวัลย์ : พี่ศรีครับ พระมหาสมปองรีวิวอีกแล้ว (หัวเราะ)
หลังจากนี้ใช้ชีวิตปกติ จะมีแฟนมั้ย?
ทิดไพรวัลย์ : เมื่อเช้าประกาศหาแล้ว บอกว่าโสดนะ แฟนเรื่องของอนาคต แต่เป็นฆราวาสแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ ดูความเหมาะสม จะพยายามทำให้สังคมเห็นว่าการที่ใครสักคนนึงสึกจากพระ ไม่ใช่การหมดบุญนะ ไม่ใช่การตายแล้ว ทุกคนควรมีสิทธิ์ในการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ว่าจะอยู่เป็นพระหรือฆราวาส ชีวิตสามารถงอกงามเติบโตได้ ไม่ว่าจะอยู่ช่องทางไหน
พระมหาสมปอง : เพื่อนอาจารย์มีหลายคนที่สึกแล้วไปเป็นอาจารย์ เจ้าของธุรกิจ ประกัน โน่นนี่นั่น ร่ำรวย ไม่ใช่สึกแล้วด้อยค่า ไร้ค่า
ไปเล่นหนังด้วยตอนเป็นพระ ฉากถูกตัดทิ้ง เพราะเขาไม่ให้พระเล่นหนังเหรอ?
ทิดไพรวัลย์ : พระบางรูปก็เล่นได้
พระมหาสมปอง : ไปเล่นได้ยังไง เป็นพระเป็นเจ้า อย่าลืมไปดูนะ
ทิดไพรวัลย์ : ก็อยู่ที่ไปเจอคณะกรรมการชุดไหน เท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรเกินเลย แค่พรมน้ำมนต์ ตอนนี้ตัดไปแล้ว ตอนตัดยังไม่สึก สึกแล้วก็น่าจะใส่ไม่ได้
พระมหาสมปอง : อย่าตัดของอาตมาเด้อ อาตมาสวนเด้อ
พระมหาสมปอง : โลกมันเปลี่ยนทุกวัน แอปพลิเคชั่นมาก็เปลี่ยนแล้ว มีเด็กถามว่าพระพุทธเจ้าถ้าอยู่สมัยนี้ท่านจะไลฟ์มั้ย ก็ตอบได้เลยว่าไลฟ์ แล้วพระอานนท์จะบล็อกมั้ยถ้ามีคนด่าพระพุทธเจ้า บล็อกฮะ เชื่อเถอะ พระสารีบุตรจะส่งคนไปสแปมคนด่าพระพุทธเจ้ามั้ย ส่ง ใช้ทุกอย่างที่เป็นประโยชน์อยู่แล้ว
สึกเมื่อไหร่?
พระมหาสมปอง : มีพี่สาวที่อาจารย์รักที่สุดบอกว่าอย่าพูด
กลัวมั้ยเวลาพูดอะไรแบบนี้?
ทิดไพรวัลย์ : ถ้าเดินริมทะเลขนาดนั้น คงไม่ต้องกลัวแล้วล่ะครับ (หัวเราะ)
พระมหาสมปอง : มันเลยจุดกลัวมาแล้ว ก่อนหน้านี้กลัวจริงๆ กลัวคนด่า กลัวคนไล่สึก กลัวนั่นนี่ แต่จุดนึงเหมือนน้องบอก เราไม่อยากเชื่องเพราะเราไม่ใช่หมา เราไม่อยากม่ปลอกคอ เราไม่ได้โง่ ที่บ้านเลี้ยงควายอยู่ ควายก็ไม่ได้โง่ด้วย เรายังไงก็ได้ ถ้าอยู่ตรงนี้มีคุณค่าทำประโยชน์ได้ เราก็อยากอยู่ แต่ถ้าสังคมคิดว่าเราไม่มีคุณค่า อย่าอยู่เลย เราก็จะออกไปก็ได้
ถ้าคนบอกว่าให้พระมหาสมปองเก็บตัวเงียบๆ สักปี ไม่ออกมาไลฟ์ ?
พระมหาสมปอง : อกแตกฮะ เราไม่ได้เกิดมาเพื่อให้คนทำอย่างนั้นอย่างนี้ เรามีจุดของเรา โดยที่พอเหมาะพอสม เรามีเวย์เล็กๆ ให้ทำประโยชน์ ทำความดี ให้เราอยู่จุดนี้ ถ้าถึงจุดที่อาตมาเคยย้ำว่าหมดประโยชน์กับสังคมนี้เมื่อไหร่ อาตมาจะไปอยู่ในสถานภาพอื่น ที่มีมากมาย พิธีกรก็เข้าท่าดี
สึกออกมา วิถีชีวิตเปลี่ยนไป ยึดโซเชียลเป็นหลัก เป็นนักวิชาการอิสระ ไปบรรยายพูดออกรายการ ผมก็เชิญมาออกรายได้?
ทิดไพรวัลย์ : ยินดีครับ โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับคณะสงฆ์ เชิญมาออกรายการได้เลย
พระมหาสมปอง : ชัดมาก
สึกมาเพื่อเปิดศึก?
ทิดไพรวัลย์ : ไม่เปิดศึกหรอกครับ แต่ถ้าอะไรไม่เป็นธรรม จะพูดให้ชัดขึ้น สำนักพุทธต้องจัดแน่นอน ถ้าพูดในรายการคงไม่พอ ผมเคยพูดว่าสำนักพุทธสร้างมาเพราะมีชาวพุทธไปร้องที่รัฐสภาจนได้สำนักพุทธมาเพื่อให้ช่วยเหลือดูแลกิจการพระศาสนา ดูแลพระหนุ่มเณรน้อย แต่ทุกวันนี้สำนักพุทธไม่เคยทำหน้าที่ตรงนี้เลย ทำหน้าที่ส่งจดหมายร้องเรียน แล้วเรื่องของผม ที่ถูกคณะกรรมการสงฆ์สอบ คนที่เป็นคนร้องคือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ สำนักงานพุทธทำหน้าที่ร้องพระ ร้องสอบพระ ใช่หน้าที่ของมันเหรอ ผมรู้สึกว่าไม่ใช่หน้าที่ที่มันต้องทำเรื่องพวกนี้ มันต้องทำหน้าที่ส่งเสริมความเจริญความก้าวหน้าพระพุทธศาสนา ดูแลพระหนุ่มเณรน้อย เอามันมาบวชเลย คนอยู่ในสำนักงานพุทธ เอามาบวชเป็นพระแทน
ทิดไพรวัลย์ : อยากคุยเหมือนกัน แต่ถ้าคุยมันจะส่งจดหมายมาอีก
จัดซะหน่อยมั้ย?
พระมหาสมปอง : สำนักพุทธเกิดจากการเมือง พระรูปนึงไปร้องที่รัฐสภา แต่ตอนหลังห้ามพระเณรไปยุ่งการเมือง แต่ตัวเองไปร้องมาเอง มันย้อนแย้ง
ทิดไพรวัลย์ : พวกหัวดำอยากคุมหัวโล้น
ตอนนี้โยมแม่เป็นยังไง?
ทิดไพรวัลย์ : คิดว่าอยู่ได้ เพราะได้ข่าวว่าพี่หนุ่มจะให้ก้อนนึงไปมีชีวิตที่ดี (หัวเราะถูกใจ)
VV
V