ดาราสาววอนขอความเป็นธรรม คดีหลานอดีต รมต.มอมยา
เป็นข่าวดังในกรณีที่ "ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด" หรือ "ทนายตั้ม" พา น.ส.แนน (นามสมมุติ) อายุ 21 ปี ดาราสาวผู้เสียหายที่ถูกหลานชายอดีตรัฐมนตรี ข่มขืนกระทำชำเรา ภายในรีสอร์ตย่านนาคนิวาส เข้าติดตามคดีกับตำรวจ สน.โชคชัย เมื่อช่วงเย็นวันที่ 24 ส.ค.ที่ผ่านมา กลายเป็นประเด็นสังคมที่หลายคนกำลังติดตาม และได้มาพูดคุยกันในรายการในวันนี้
รายการโหนกระแสวันที่ 26 ส.ค.65 ดำเนินรายการโดย "หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย" ผลิตในนามบริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 12.35 น. ทางช่อง 3 กดเลข 33 ได้สัมภาษณ์ นักแสดงสาวผู้เสียหาย เอ (นามสมมุติ) และพี่สาว บี (นามสมมุติ) พร้อมทนายตั้ม ถึงเหตุการณ์ความเป็นไปทั้งหมดจนถึงตอนนี้ว่า...
เอ : "ตัวหนูยินดีที่จะเปิดเผยข้อมูล เพราะอยากให้เคสของหนูเป็นอุทาหรณ์ อยากที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตัวหนูเองด้วยค่ะ"
คดีนี้มาอะไรแอบแฝงไหม?
ทนายตั้ม : "น่าจะมีอะไรแอบแฝงเยอะเลย แต่ที่รู้สึกว่าเคสนี้น่าจะหนักกว่าคนอื่นคือมันมีการวางยาด้วย"
เอ : "ผู้ชายคนนี้รู้จักกันจากการที่เขาทักเข้ามาจ้างงานรีวิว ในฐานะบริษัทเบียร์นำเข้า ทางเราได้มีการส่งโปรไฟล์ ในการเข้าไปจะขอทุนในการทำธุรกิจเพลง คุยกันในเชิงธุรกิจการทำเพลง พี่สาวรู้เห็นมาตลอดว่าหนูจะไปคุยงานกับเขา ตอนนั้นวันที่จะไปก็จะมีพี่สาวไปด้วย แต่มีเหตุบางอย่างที่ทำให้หนูต้องไปคนเดียว เหตุการณ์ตอนนั้นคือเขาได้พาเราไปที่ที่นึง ซึ่งก่อนหน้านี้เขาได้ส่งสถานที่แห่งนี้มาให้เราดูแล้ว เขาแชร์โลเกชั่นว่าให้มาเจอกันที่นี่"
ไปรู้จักกันได้ยังไง?
เอ : "ไม่แน่ใจเลย"
บี : "เขาทักไดเร็กต์ไอจีมาว่าจะจ้างรีวิวสินค้าบริษัทเขา ก็คือเบียร์นำเข้า พอดีลงานกันเสร็จ เขาก็บอกให้น้องส่งคลิปรีวีวมาทางไลน์ส่วนตัวของเขา หลังจากแอดไลน์ ส่งงานเสร็จเขาก็โอนเงินมาให้ ตามธุรกิจการรีวิวทั่วไปที่น้องเคยทำ ทางเราดูแล้วก็เห็นว่าสินค้าของเขามันเข้ากับงานเพลงของเราได้ก็เลยให้น้องขอสปอนเซอร์ ส่งโปรไฟล์เบื้องต้นให้"
เราก็มีการติดต่อคุยกัน จนสุดท้ายเขาก็ได้ส่งโลเกชั่นที่จะนัดเจอกันให้ เป็นที่ไหน?
บี : "เป็นรีสอร์ตแห่งนึง เขาให้น้องนั่งบีทีเอสไปรอที่ล็อบบี้โรงแรมเอ็มโพเรียม ให้ไปรอที่นั่น"
เอ : "หนูก็นั่งรอ พอมาถึงเขาก็ให้คนขับรถมาตามเราไป พอเราขึ้นรถไป คำพูดหรืออิริยาบทของเขาไม่ได้มีการล่วงเกินเราเลย ไม่ได้มาในเชิงชู้สาวทำให้เรารู้สึกกลัวเลย ถามว่าไว้ใจไหม ด้วยความที่หนูเข้าวงการมาตั้งแต่อายุ 16 ปีแล้ว ก็มีความคุ้นชินกับการไปคุยงานธุรกิจแบบนี้พอสมควรว่าจะเป็นแบบไหน พอไปถึงสถานที่ก็จะเป็นรีสอร์ตนึง พอถึงห้องคนขับรถเขาจะเป็นคนไปจัดการทุกอย่างให้ เรียบร้อยเขาก็เปิดประตูรถ หนูก็เดินลงไปเข้าห้อง ถึงห้องเราก็สำรวจห้องก่อนเลย แบ่งเป็นสองส่วน มีส่วนที่เป็นสเปซกว้าง และส่วนของพูลวิลล่า อีกฟากจะเป็นอ่านจากุชชี่ ภาพรวมคือเป็นสถานที่กว้างๆ เราเลยไม่ได้รู้สึกตื่นกลัวอะไรกับสถานที่ มันไม่ใช่สถานที่ที่เข้าไปแล้วเป็นห้องสี่เหลี่ยม"
คือเรามองแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามันคือโรงแรม ก็คงจะไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น?เอ : "ค่ะ ในตอนที่เขาเดินเข้ามา จะมีเครื่องดื่มโซจูมาที่เขาเตรียมมาเองด้วย ในเรื่องของการดื่มแอลกอฮอล์ที่เราไม่รู้สึกตื่นกลัวเพราะปกติเราเป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์แล้วจะรู้ลิมิตตัวเองว่าเราดื่มอะไรได้บ้าง และดื่มได้แค่ไหน โซจูเขาก็ไม่ได้ถามเรามาก่อนเลยว่าเราจะดื่มไหม เขาหิ้วเข้ามาเลย ส่วนตัวหนูไม่ได้แพ้แอลกอฮอล์ตัวนี้อยู่แล้ว สามารถดื่มได้ เท่าที่จำได้ปริมาณที่เดิมก็ไม่เกิน 2 ขวด พอดื่มไปหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้เลย เขาเตรียมโซจูมาเองประมาณ 4-5 ขวด"
พี่สาวไม่ได้ไปด้วย?บี : "เราก็เอะใจเหมือนกันว่าทำไมน้องติดต่อไม่ได้ตั้งแต่ 4 ทุ่มกว่าๆ เลยลองเปิดโน้ตบุ๊กที่มีไลน์น้องอยู่ว่าน้องไปที่ไหน ก่อนหน้านี้ได้มีการแจ้งไว้แล้วว่าถ้ามีคุยงาน เขาจะชอบไปคุยงานกันที่พูลวิลล่าส่วนตัว เขาบอกว่าเขากำลังจะลงเล่นการเมือง กำลังจะลงเป็นนายกรัฐมนตรี แล้วเขากำลังจะเข้าเป็นเลขาอะไรซักอย่าง เขาเลยไม่ชอบไปที่อโคจร ที่คนเยอะๆ กลัวคนอื่นจะเห็น ถ้าจะคุยงานอาจจะนัดที่พูลวิลล่า น้องก็ไม่ได้รู้สึกกลัวตรงนั้นเพราะเขาได้แจ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว วันนั้นติดธุระพอดี เลยไม่ได้ไปกับน้อง ปกติจะไปด้วยกันตลอดทุกครั้ง"
เอ : "ณ ตอนนั้นยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยว่าเราโดนกระทำอะไรรึเปล่า ในความรู้สึกตอนนั้นเราก็มาคุยงานทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการคุยงานเราจำได้ แต่ภาพตัดไปตอนไหนนี่หนูไม่รู้เลย มารู้สึกตัวอีกทีตอนตี 2 กว่าๆ ที่มีการติดต่อพี่สาวไป แล้วพี่สาวเล่าให้ฟังว่าเขาจะโดนทางรีสอร์ตดำเนินคดีข้อหาบุกรุก ตอนนี้กำลังมีเรื่องข้างนอกวุ่นวายอยู่ หนูเองพอเริ่มรู้สึกตัวก็เรียกแกร็บกลับบ้าน ตอนนั้นเขาไม่ได้อยู่แล้ว ตื่นมาเราอยู่คนเดียว เหมือนเท่าที่เราจำได้คือเขาเอารูปมาให้ดู เขาบอกว่าเป็นรูปจากคนขับรถเขาที่แอบถ่ายพี่สาวเราตอนที่พี่สาวเรามีปัญหาอยู่หน้ารีสอร์ต เขาให้เราดูรูปแล้วถามว่าใคร เราก็บอกว่าพี่สาวเรา เขาก็ถามอีกว่าทำไมถึงเอาตำรวจมาด้วย ตอนนั้นเหมือนจะทะเลาะกันซักอย่างแต่หนูจำไม่ค่อยได้ แล้วเขาก็ออกไปจากรีสอร์ต"
บี : "เราโดนทางรีสอร์ตข่มขู่ว่าจะแจ้งความ ให้ตำรวจใส่กุญแจมือเราให้ออกไปจากตรงนั้น เราก็ยืนยันจะเข้าเพราะน้องเราอยู่ในนั้น เราพยายามจะเอารูปผู้ชายให้ตำรวจดูให้ไปเคาะก็ได้เพื่อจะช่วยน้องออกมาเพราะเรารู้แล้ว น้องเราไม่เคยขาดการติดต่อนานขนาดนี้ พอตำรวจดูรูปปุ๊บ เขาก็บอกว่าน้องเราอาจจะมาแอบขายตัว หรือแอบชอบเขาก็ได้ เพราะคนนั้นเขาดูหล่อและรวยมาก สุดท้ายเขาไม่เข้าไปเคาะให้เหมือนเขาคุยกับเจ้าของรีสอร์ต ณ วันนั้นสายตรวจบอกว่าดูเจ้าของรีสอร์ตสนิทกับผู้กำกับ"
ทนายตั้ม : "หลังจากเกิดเหตุแล้ว น้องก็ได้มาหาผมมาเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง น้องได้มีการแจ้งความแล้ว คดีไปถึงไหนยังไงแล้ว ผมก็เลยชวนน้องไปที่โรงพัก"
โซจูสองขวดเอกินคนเดียวเลยไหม?เอ : "ไม่ค่ะ เป็นการที่เขาคะยั้นคะยอให้เรากิน พอคุยงานไป เรามีโปรไฟล์งาน มีเพลงของเราที่เราเปิดให้เขาฟังด้วย ตอนที่เราเปิด ที่เราคุยงานเขาก็มีชวนหนูชน เราก็ต้องชนตามเขา หนูกินไปเยอะ เขาพยายามคะยั้นคะยอให้เราดื่ม ไม่รู้ว่าตัวเองกินไปเยอะไหม แต่เท่าที่รู้สึกคือไม่เยอะ"
เขาเอาโซจูมา 5 ขวด เปิดไป 2 ขวด ใน 2 ขวดนี้กินด้วยกัน?เอ : "ก็มีของเขาอีกค่ะ แก้วที่หนูดื่มจะเป็นลักษณะที่เขาบิด เปิดฝาให้เราแล้วเอาแก้วที่นั้นเท ลักษณะแก้วหนูก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน"
เอ : "ตอนนั้นก็สู้กับพี่สาวกันสองคน"
บี : "ไปตรวจร่างกาย แล้วพบว่าถูกล่วงละเมิดจริงๆ ด้วยตอนแรกน้องจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลย น้องก็ยังยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ถูกล่วงละเมิด ตัวเองไปคุยงานจริงๆ แล้วดีลงานได้นะ เขาจะเป็นสปอนเซอร์ให้เลย จนน้องกลับมาที่บ้าน ตื่นมาอีกวัน ที่ห้องน้ำเราก็ไปเจอสารคัดหลั่งติดอยู่ เราก็บอกไปว่านี่มันเหมือนเชื้ออสุจิเลย ก็ตกลงกันว่าน้องจะไปดีไหม"เอ : "ตอนนั้นเรายังไม่เชื่อ ด้วยเพราะเราจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ"
หลังจากตรวจแล้วได้มีการติดต่อหลานรัฐมนตรีไป?
บี : "พอตรวจเสร็จแล้ว มันต้องมีใบจากตำรวจเพื่อจะดูผล ก็ให้น้องโทรไปหาผู้ชายคนนี้เพื่อความแน่ใจว่าเขาได้ทำอะไรน้องจริงรึเปล่า ก็บอกให้น้องถามไปประมาณนี้แล้วกัน ถามไปตรงๆ เขาคงไม่บอก เราเองมีคลิปด้วยตอนที่น้องโทรไปถาม เขาก็ยอมรับว่าเขาได้เอายาตัวนึงให้น้องกิน เขายอมรับทั้งในโทรศัพท์ทั้งในแชตเลย เขาไม่ได้บอกวิธีว่าเขาเอายาใส่ไปยังไง เขาบอกแค่ว่าเขาเอายาให้น้องกิน ที่น้องบอกมีอาการคลื่นไส้อาเจียน เขาบอกว่าน่าจะเป็นอาการจากผลข้างเคียงของยาที่ให้น้องกินไป จากนั้นก็ติดต่อทนายตั้ม"
ทนายตั้ม : "พอน้องติดต่อเข้ามาเราก็รวบรวมพยานหลักฐาน น้องเอาข้อความแชตและคลิปมาให้ผมดูผมตรวจสอบแล้วคือแชตค่อนข้างชัดเจน ตอนที่น้องแชตไปถามตอนนั้นน้องยังไม่รู้ว่าตัวเองโดนกระทำอะไรรึเปล่า เป็นการแชตเพื่อที่จะหลอกถามว่าพี่ทำอะไรหนูรึเปล่า ก็มีการไล่ข้อเท็จจริงไปเรื่อย ตัวผู้ต้องหาเขาก็ยอมรับว่ามีอะไรกันจริงๆ แต่เป็นการยินยอมกัน น้องเขาก็เลยถามไปว่าถ้าหนูยิมยอมทำไมหนูถึงไม่รู้ตัว ไม่รู้อะไรเลย ตอนหลังเขาถึงกลับคำ"
เอ : "หนูยินยอมที่จะเปิดเผยข้อมูลค่ะ หนูอยากได้ความยุติธรรมมากกว่า"
ทนายตั้ม : "เขาก็บอกว่าเรามีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ เราจูบกันหรืออะไร น้องเลยบอกว่าหนูไม่รู้สึกตัวเลย พี่เอาอะไรให้หนูกิน ทางผู้ต้องหาบอกว่ายาที่ให้กินคือยาคุม น้องก็บอกว่าหนูเมาไม่ได้สติแล้วพี่เอายาให้หนูกินได้ยังไง เป็นยาอะไร เขาก็บอกว่าเป็นยาหลังร่วมเพศสัมพันธ์ น้องบอกว่าแล้วพี่เตรียมยาพวกนี้มาแสดงว่าพี่ตั้งใจจะมาทำอะไรหนูรึเปล่า หนูได้บอกไปตั้งแต่ทีแรกแล้วว่าหนูมาคุยเฉพาะงานนะ ไม่ได้มียิมยอมอะไรกับพี่นะ ทางผู้ต้องหาก็บอกว่าไม่ได้เตรียม สาบานก็ได้ ให้ฟังก่อน แต่ที่น่าตกใจก็คือหลังจากที่ได้มีการแชตกันนั้นได้มีการพยายามจะทำลายพยานหลักฐาน โดยมีการยกเลิกข้อความต่างๆ ที่ได้คุยกับน้องในประเด็นสาระสำคัญ เรื่องมีอะไรกัน ตัวพี่เป็นคนทำไป มีการจูบกันอะไรพวกนี้ เขาได้ทำการยกเลิกข้อความ แต่โชคดีที่พี่สาวรอบคอบ ได้มีการแคปเก็บไว้หมดแล้ว เราก็ได้เอาทั้งสองส่วนทั้งที่มีการคุยทำลายหลักฐานด้วยการยกเลิกข้อความส่งมอบให้พนักงานสอบสวน"ทนายตั้ม : "อยู่หมดรึเปล่าผมไม่รู้ ผมไปหาพนักงานสอบสวนผมก็พยายามจะถามว่าหลักฐานพอที่จะเอาผิดผู้ต้องหาได้หรือยัง เราก็ดูพยานหลักฐานต่างๆ ให้น้องให้การให้ละเอียดเกี่ยวกับเรื่องคลิป แชตปรากฏว่าหลังจากที่ผมกลับ น้องได้มีการตรวจพยานหลักฐาน พบว่ามีแชตที่สำคัญที่สุดหายไป แชตน้องเอากลับมารวบรวมเพื่อที่จะเอามาบอกว่าทำไมหนูถึงพิมพ์ข้อความแบบนี้ไป พี่สาวพิมพ์เพราะอะไร คือจะมาไล่เรียงแต่ละอันให้ว่าเขาพิมพ์ไปเพื่ออะไร เพื่อที่จะได้อธิบายกับตำรวจได้ละเอียด เพื่อส่งอัยการฟ้องศาล แต่ปรากฏว่ามีแชตสำคัญไม่อยู่แล้ว"
"เขาเลยมาหาผม มาบอกว่าหนูไม่ไว้ใจตำรวจแล้ว เพราะหลักฐานสำคัญชิ้นนี้มันหายไปได้ยังไงจากสำนวน ผมเลยแนะนำให้น้องโทรกลับไปหาตำรวจ ตำรวจบอกว่าไม่ได้หายไป อยู่ที่โรงพัก มันเลยทำให้น้องเขางงว่าสรุปแล้วมันเป็นยังไง ทำไมมันถึงไม่ได้อยู่ด้วยกัน แล้วเป็นใบที่สำคัญที่สุด"
เอกสารทั้งหมดคือต้องส่งไปให้กับศาล?ทนายตั้ม : "ต้องส่งไปที่ศาลเพื่อขอหมายจับ เราไม่รู้ว่าเขาส่งเอกสารไปครบหรือไม่ครบ แต่มันก็น่าจะเป็นเหตุรึเปล่าที่ทำให้ศาลไม่สามารถออกหมายจับได้ ต้องให้ทางตำรวจได้สอบสวนกัน"
บี : "เป็นเอกสาร 1 แผ่น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญมากเลยค่ะ เป็นแชตที่ผู้กระทำเขายอมรับว่าเขาเอายาให้น้องกิน แล้วน้องก็ยืนยันว่าน้องไม่ได้ให้เขามีเพศสัมพันธ์ด้วย ซึ่งเขาก็ยอมรับว่าน้องไม่ได้ยินยอมด้วย"
ทนายตั้ม : "เราเองมีเอกสารตัวนี้สำรองไว้ด้วย ดีที่เรารีเช็กสำนวนเพราะถ้าเราไม่ได้เช็ก แล้วเอกสารส่งไปโดยที่ขาดส่วนที่สำคัญที่สุดไป เราก็ไม่รู้ว่าผลของคดีจะเป็นยังไงในอนาคต"
บี : "เราไม่รู้เลยว่าได้ส่งเอกสารแผ่นนี้ให้ศาลรึเปล่า เพราะตอนที่เราเอามาเราตั้งใจจะสื่ออะไร ใบนั้นมันหายไป"
ตอนที่คุยกับเอ ชายคนนั้นเขาแสดงตัวเลยหรือว่าเป็นหลานของอดีตรัฐมนตรี?เอ : "ใช่ค่ะ เขาบอกว่าเขาเป็นหลานอดีตรัฐมนตรี อยากจะลงนายกฯเพื่อตามรอยของปู่เขา เขาบอกว่าทุกครั้งเวลาเขาไปไหนเขาจะมีรถตำรวจนำทางสำคัญตลอดทั่วทั้งประเทศไทย เขาเปิดคลิปให้เราดู ในโซเชียลของเขาก็มี เขาก็ลงว่าไม่ว่าเขาจะไปไหนเขาก็จะมีรถตำรวจคอยนำขบวนตลอด ในคลิปเราก็เห็นจริงว่ามีรถมอเตอร์ไซต์คันใหญ่ๆ ของตำรวจสองคันคอยนำทาง เขาจะเหมือนเป็นนักธุรกิจตัวเองไปไหนก็ต้องคอยมีคนดูแลตลอด เขามีการเล่าให้ฟังว่าไปที่นี่จะต้องมีคนคอยดูแลนะ"
ทนายตั้ม : "คงจะเส้นใหญ่ ทีนี้ตำรวจก็ต้องไปตรวจสอบกันแล้วแหละว่าทำไมต้องอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจคนนี้แบบนี้"เอ : "ได้บอกไปค่ะ เขาก็ไม่ได้สนใจประเด็นนี้ เขาบอกว่าหลักฐานที่หนูมีมันยังไม่เพียงพอ"
บี : "รองผู้กำกับ สน.โชคชัย ท่านแจ้งว่าหลักฐานยังไม่เพียงพอ"
เอ : "แล้วมาตอบกลับว่าทำไมเราถึงกล้าไปกับเขา เขาพยายามพูดเบี่ยงประเด็นไปในเชิงให้หนูสมยอมอย่างเดียวเลย คือตัวหนูก็ยังยืนยันว่าตัวหนูไม่ยอม แล้วเราก็มีหลักฐานทุกอย่างว่าที่เราไปคือไปคุยงานเป็นงานที่สุจริตจริงๆ เรามีหลักฐานทุกอย่าง"
แล้วตำรวจเขาไม่รู้เหรอว่าการที่ตำรวจมาถามเราว่าทำไมเราถึงไปกับเขามันคือการเบลมเหยื่อ?บี : "ไม่ทราบค่ะ เขาก็กางหนังสือกฎหมายอยู่นะคะ เพราะตอนแรกหนูไปขอดูหลักฐานที่เอาไปให้ เขาไม่ให้ดูค่ะ เขาเพิ่งจะให้ดูวันที่พี่ตั้มไปด้วย"
เรามีทั้งใบตรวจร่างกายว่าเราถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีแชตยืนยันว่าเราไม่ยินยอม แถมเขาตอบกลับมาว่าได้วางยาเราด้วยซ้ำ นี่คือยังไม่เพียงพอ ถ้าจะให้เพียงพอยังต้องการอะไรอีก?
บี : "ทางผู้กำกับบอกว่าหลักฐานไม่เพียงพอนะ อาจจะถูกยกฟ้องได้ อาจจะไปแพ้ในชั้นฎีกาก็ได้ เขาพยายามพูดว่าเราสมยอมเองรึเปล่า อายุเท่านี้แล้ว จนน้องรู้สึกไม่ไหวชวนเรากลับ ให้ไปหาพี่ตั้มดีกว่า"
ทนายตั้ม : "การที่เขาพูดแบบนี้เพราะเขาต้องการที่จะให้เราสูญเสียความมั่นใจในการดำเนินคดี เขาอาจจะมีจุดประสงค์อะไรเป็นพิเศษรึเปล่า เช่นเขาอาจจะรู้ว่าเรื่องแบบนี้สู้ไปก็ไม่ชนะ ให้น้องยอมแล้วกลับบ้านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"เอ : "พี่ผู้กำกับเขาบอกว่าถ้าไปบอกว่าเอกสารหายหรือตกหล่นเขาจะฟ้องทางเรา เขายืนยันว่ามันไม่หายแค่ตกหล่นอยู่ที่ สน. เขาบอกว่าถ้าพูดพาดพิงตำรวจมากเกินไปเขาจะมาฟ้องเอาเรื่อง"
ทนายตั้ม : "ผมฟังแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ มันเหมือนทำให้น้องเขารู้สึกว่าเดี๋ยวจะต้องโดนฟ้องถ้าเราออกมาพูดความจริง ไปพูดออกสื่อ ตั้งแต่ต้นแล้วที่รองผู้กำกับคนนี้เขาพูดกับน้องมาก็คือ อย่ามาหาทนายอย่ามาออกสื่อ แทนที่จะช่วยกันทวงความยุติธรรมให้กับน้อง"
มาถึงตรงนี้ "หนุ่ม กรรชัย" ถึงกับพูดขึ้นว่าท็อปฟอร์ม และพูดต่อว่า มาถึงตรงนี้ผมเข้าใจมุมของทางตำรวจหรือทางผู้กำกับที่จะพูด แต่ผมจะบอกกลับไปว่าถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวน้องเขาไปร้องแล้วมันเกิดประสิทธิผลกับตัวน้องจริงๆ อย่างที่ตัวน้องเขาต้องการ เขาไม่ไปร้องสื่อ มาร้องที่ไหนหรอก เขาไม่ไปร้องใครให้เขาอายหรอก เขาไม่อยากมานั่งตรงนี้เพื่อให้ประชาชนได้รู้ว่าเขาไปโดนอะไรมา ถ้าเกิดว่ากระบวนการตามข้อกฎหมายมันตรงไปตรงมา ทำให้เขาสบายใจรู้สึกว่าเขาฝากผีฝากไข้ได้ เขาไม่ได้ไปนั่งที่อื่นหรอก ตรงนี้ต้องยอมกลับไปมองเองว่ามันเกิดเพราะอะไร ยังไง มันมีที่มายังไงถึงทำให้น้องต้องมานั่งอยู่ตรงนี้ ซึ่งไม่ใช่ว่ามันดี มันต้องแลกด้วยหลายสิ่งหลายอย่างของน้อง
เห็นว่ามีคนโทรศัพท์มาหาด้วย?
เอ : "เป็นอาของผู้กระทำ เขาโทรมาโดยที่เขาไม่รู้ว่าตอนนั้นหนูอยู่กับพี่ตั้ม มันมีประวัติว่าเขาพยายามติดต่อเข้ามาจากการโทรเข้ามา 2-3 สาย แต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้รับเพื่อนไลน์เขา เขาเลยโทรหาเราไม่ติดแต่มันขึ้นประวัติไว้ มันเช็กได้ว่าเขาไม่ได้แอดมาจากไอดีไลน์หน้าโปรไฟล์งานเรา แต่มันมาจากการเพิ่มเพื่อน เลยปรึกษาพี่ตั้มว่าเอายังไงดี เพราะเราไม่รู้ว่าเขาคือใคร เลยลองรับแอดแล้วทักไปว่าสวัสดีค่ะ เขาอ่านทันทีแล้วตอบกลับมา พี่ตั้มเลยแนะนำว่าให้อัดคลิปไว้ แล้วฟังว่าเขาจะพูดอะไรบ้าง"
โดยเสียงที่บันทึกไว้ได้นั้น เป็นเสียงที่ทางต้นสายที่อ้างว่าเป็นคุณอาของผู้กระทำพูดกับเอ พูดว่า....
"เป็นคุณอาของน้อง... อารู้เรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วอาก็ไม่สบายใจ อาอยากให้เขาเล่นการเมือง จะให้เป็นรองเลขา มันมีหลายเรื่องที่จะดันเขาให้ช่วยเหลือประเทศไทย ฉะนั้นถ้ามีเรื่องอะไรที่ไม่ดี ก็จะทำให้เขาเสียหายนะลูกนะ ถ้าหนูมีปัญหาเรื่องการเงินอะไร อาไม่รู้หรอกว่าไปทำอะไรกันมา ถ้ามันมีเรื่องไม่ดีแล้วมันก็จะเสียหายทั้งคู่แหละ อาไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นยังไง ถ้ามันคุยกันได้ หนูก็เป็นคนดี หลานของอาก็เป็นคนดี แต่ถ้ามันขึ้นไปอยู่ในขบวนการของศาลแล้วมันจะสืบสาวราวเรื่องกันมากมาย ไม่รู้ใครถูกใครผิดก็ว่ากันไป เสียหายกันทั้งคู่แหละ อาจะให้เขาเล่นการเมือง อาจะก่อตั้งส่งเสริมพระพุทธศาสนา เรื่องของเอาศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาตินะลูกนะ"
ทนายตั้ม : "เรื่องถึงโรงพักแล้ว ถ้าเกิดว่าหลานของอาโทรมาคุยกับน้องเขา มาขอโทษขอโพยกัน แล้วบอกเหตุผลหน่อย ก่อนที่อาจะโทรมาอาไม่ได้คุยกับหลานก่อนเหรอว่าเรื่องมันเป็นยังไง"
อา : "อาคุยเขาก็บอกแต่ว่าเขามา ต่างคนต่างเมา สมยอมกัน เขาพูดแบบนี้ อาก็ไม่สามารถจะไปพูดอะไรได้"
จะเอายังไงต่อไปเรื่องนี้?
ทนายตั้ม : "คงจะต้องดำเนินการตามกฎหมาย เท่าที่ดูพฤติกรรมของผู้ต้องหาแล้วน่าจะมีความผิดตาม 8 ข้อหาหลักๆ คือเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา ข่มขืนอนาจาร มีการวางยา ทำให้น้องอยู่ในสภาวะไม่สามารถขัดขืนได้ โทษจาก 20 ปี เพิ่มเป็น 1 ใน 3 แล้วก็โดนข้อหาปลอมปนอาหารให้ดื่ม ทำร้ายร่างกาย กักขังหน่วงเหนี่ยว เพราะการมอมยาทำให้สูญเสียเสรีภาพ ข่มเหงรังแกผู้เสียหาย เรื่องนี้ผมก็ยังจะเดินสุดทางเหมือนเรื่องอื่นๆ ที่ผ่านมา"
บี : "ฝากเรื่องด้วยนะคะ"
เอ : "ขอความยุติธรรมให้กับหนูด้วยนะคะ"ทนายตั้ม : "ถ้าเขาฟ้องกลับมาผมยินดีเป็นทนายให้ครับ สู้ให้เต็มที่ หลักฐานมันชัดเจนครับ ให้สู้เลยครับเดี๋ยวถึงเวลาจะได้ไม่มีการลดโทษกัน"