แม่ข่ายขายตรง! อ้างบริษัทดังเน้นหาดาวน์ไลน์ ไม่เน้นขายสินค้า

จากกรณีมีผู้เสียหายออกมาแฉข้อมูลว่าได้รับความเสียหาย จากร่วมธุรกิจขายตรงกับบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งมีเหล่าดารา-อินฟลูเอนเซอร์เป็นพรีเซนเตอร์จำนวนมากจนโด่งดังแต่สุดท้ายกลับพบว่าเป็นการขายฝัน จนเป็นหนี้สิน แม้แต่คนดังก็ยังโดนหลอก

ล่าสุดผู้เสียหายจากกรณีดังกล่าว ทั้งผู้ที่เคยเป็นแม่ข่าย และผู้ที่เป็นลูกข่าย ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ "โหนกระแส" ถึงกรณีที่เกิดขึ้น

โดย "คุณลูกตาล" อดีตแม่ข่ายที่เคยทำธุรกิจขายตรงกับบริษัทแห่งหนึ่ง บอกว่า จุดเริ่มต้นตนเข้าเรียนคอร์สเรียนออนไลน์ ในช่วงโควิด โดยเห็นจากฆษณาในเฟซบุ๊ก ซึ่งเขาบอกว่าโทรศัพท์เครื่องเดียวสามารถสร้างกำไรหลักล้าน พลิกชีวิตได้ โดยในคอร์สเรียนออนไลน์จะมีการสอนทั้งการสร้างเพจ การเปิดหน้าร้านออนไลน์ การยิงแอดโฆษณา จากนั้นก็จะเริ่มบอกว่าแต่ละคนมีชีวิตที่ดีขึ้นจากการเข้ามาทำธุรกิจที่นี่ หลังจากนั้นก็จะชวนให้ซื้อสินค้าของเขาไปขาย หากยังไม่พร้อมก็ให้ลองซื้อสินค้นไปกินไปใช้ก่อน หรือจะเริ่มเปิดบิลเล็กในราคา 25,000 บาท หลังจากนั้นก็จะมีการโน้มน้าว จูงใจ ให้เปิดบิลใหญ่ขึ้น โดยมีโปรโมชั่นมาล่อเพื่อให้เรารีบเปิดบิล โดยมีหน้าม้าเข้ามาทำให้เราเชื่อมั่นว่าทำแล้วได้ผลลัพท์จริง หลังจากนั้นตนได้เข้าไปเป็นตัวแทน ก็ต้องหาดาวน์ไลน์

"ช่วงแรกก็มีคนเข้ามาจากการยิงแอดโฆษณา โดยการนำพาภาคนำเข้า คือการยิงแอดโฆษณาเพื่อหาคนมาเข้าเรียน ไม่ใช่หาคนมาซื้อของ แม้จะมีการยิงแอดโฆษณาเพื่อขายของ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องหลัก ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเขา แต่เป้าหมายหลักของเขาคือการหาคนมาเข้าเรียน"

ทั้งนี้มีคนหลายคนที่เป็นแบบตนหลายคนที่ตัดสินใจเข้ามา แล้วพอเขาเริ่มรู้สึกว่าเขาไปต่อไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ทำหรือเขาทำไม่ได้ แต่เขาทำไม่ลง เพราะมีผู้เสียหายเกิดขึ้น

โดยกรณีมีผู้เสียหายนั้น ในลูกทีมของตนจะมีผู้เสียหายคือ การขายสินค้าไม่ได้ทำให้ไปถึงจุดที่เขาบอกไว้ คือได้เดือนละล้าน แต่ขายเพียงเพื่อได้ทุนกลับมา และได้กำไรนิดหน่อย แต่ไม่ใช่การได้เดือนละล้านจากการขายปลีก แต่เขาได้เดือนละล้านหรือ 10 ล้าน จากการที่คนจำนวนมากเอาเงินแสนมาลงทุน

ขณะที่ตัวสินค้าจะอยู่ในสต๊อก เมื่อกดเบิกออกมาแล้วกลับพบว่าสินค้าใกล้จะหมดอายุ บางชิ้นเหลืออายุแค่ 6 เดือน แต่เมื่อแจ้งไปที่บริษัทเขากลับตอบว่าสินค้าเหลืออายุไม่ถึง 1 ปี ไม่รับเปลี่ยน ส่วนการสอบขายสินค้าเขามีสอน แต่ไม่ใช่เป้าหมายหลักของเขา โดยมีแม่ทีมบางคนพูดกับตนว่าไม่สนว่าจะสต๊อกสินค้าได้เท่าไหร่ แต่สนใจว่าจะหาดีลเลอร์ได้กี่คน เพราะนั่นคือรายได้ที่เขาได้

ด้าน "คุณเล็ก" อายุ 82 ปี ผู้เสียหายอีกคน บอกว่า เสียหายไปล้านกว่าบาทรวมค่ายิงแอดโฆษณา ซึ่งตอนแรกไม่ได้ตั้งใจทำธุรกิจนี้ แต่หลังจากเห็นโฆษณาในทีวี ก็เข้าไปสมัคร แต่พอสมัครแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่แม่ข่ายหรืออัพไลน์เขาเป็น เมื่อเราหาสมาชิกใหม่ไม่ได้ ดาวน์ไลน์ของเรามีไม่มากพอ ก็ต้องไปเปิดดีลเลอร์เพิ่มอีกขาหนึ่งอีก 250,000 บาท และต้องจ่ายเงินเพื่อขอรายชื่อลูกค้าอีก 5,000-10,000 บาทอีก หลังจากนั้นเมื่อยิงแอดไปอาจจะได้ลูกค้า 10-20 คน หรือบางทีไม่ได้เลยก็มี แต่การยิงแอดต้องเสียทีละ 5,000 บาท พอได้ชื่อแล้วเราก็ต้องขอเบอร์โทรศัพท์เขาเพื่อทำการขาย แต่สินค้ายังอยู่กับเขา และจะหมดอายุแล้วด้วย

ด้าน "คุณนก" ผู้เสียหายอีกคน เล่าว่า หลังจากเข้าคอร์สอบรมเริ่มเปิดบิลตั้งแต่ 2,500 บาท ขึ้นมาเป็น 25,000 บาท และเพิ่มเป็น 200,000 บาท แต่ตอนนั้นตนไม่มีเงินสดที่ตัว เขารู้ว่าตนมีบัตรเครดิตเขาเลยให้ตนรูดบัตรเครดิตมาเปิดบิล จนเป็นหนี้ หลังจากนั้นก็ขอของมาขายเอง ก็ทำทุกวิถีทาง ไปขายตามตลาดก็ขายไม่ได้ และต้องสั่งโปสเตอร์ แผ่นพับ พอขายของไม่ได้ก็คุยกับเพื่อน จนมีคนแนะนำว่าให้ขายตลาดมืด โดยต้องยอมขาดทุนเยอะ แต่ก็คิดว่าให้ได้เงินมาดีกว่าไม่ได้เงิน หลังจากนั้นตนก็เครียดมากเพราะมีหนี้สิน โดยทางบริษัทก็ไม่เคยพูดถึงความเสียงว่าเอาสินค้ามาขายแล้วอาจจะขายไม่ได้ แต่เขาพูดในแง่บวกตลอด ทั้งเรื่องการโฆษรา ทั้งการจดทะเบียนบริษัท

หลังจากนั้นตนมีหนี้สิน และติดแบล็คลิส สินเชื่อ บัตรเครดิต รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หลังจากนั้นก็มีลูก จนตัดสอนใจกระโดดน้ำฆ่าตัวตายตอนที่ลูกยังอยู่ในท้อง 3-4 เดือน เพราะไม่รู้จะไปทางไหน เพราะตนทำเต็มที่แต่ผลตอบรับกลับมามันไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราคาดหวัง แต่โชคดีที่มีคนมาช่วยได้ทัน

ส่วนประเด็นที่อาจจะมองได้ว่าเขาไม่ได้บังคับให้ซื้อสินค้า พอซื้อของแล้วขายไม่ได้จะทาเขาได้อย่างไรนั้น นายพรศักดิ์ วิภาสอานนท์ ทนายความ กล่าวว่า วัตถุประสงค์หลักต้องการขายสินค้า แต่จะมาผลักภาระให้ผู้ซื้อว่าซื้อไปแล้วต้องมีหน้าที่ขายเองมันไม่ได้ ทั้งที่จริงๆผู้ประกอบธุรกิจที่มีวัตถุประสงค์ต้องการขายสินค้าก็ต้องมุ่งไปที่การขายสินค้า แต่จากที่ผู้เสียหายบอกเขามุ่งหาดาวน์ไลน์อย่างเดียว แต่การขายสินค้าเป็นเรื่องปลายๆ

สคบ.ยังอึ้ง! ลั่นจดทะเบียนกับปฏิบัติคนละแบบ

นายณัชภัทร ขาวแก้ว ผอ.ฝ่ายรับเรื่องราวร้องทุกข์และติดตามสอดส่องการประกอบธุรกิจ สคบ. บอกว่า เรื่องนี้หนักใจพอสมควร เพราะข้อเท็จจริงที่เรามีอยู่ ณ วันที่ไม่รับจดทะเบียนขายตรง ไม่ได้มีข้อเท็จจริงเหมือนผู้เสียหายเล่า ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่เกิดขึ้นในภาคปฏิบัติของบริษัท ซึ่งวันที่เขายื่นจดทะเบียนนั้นเขายื่นอีกแบบหนึ่ง เน้นเรื่องขายปลีก ตัวแทนขายปลีก แต่พอฟังข้อมูลจากผู้เสียห่ายก็พบข้อเท็จจริงใหม่ที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ ทั้งเรื่องการยิงแอดล่อคนเข้ามา แล้วมีคนมาจูงใจให้ซื้อสินค้าของบริษัท ซึ่งมันผิดไปจากการจดทะเบียน เพราะข้อเท็จจริงไม่มีเรื่องขายคอร์สการเรียนอยู่แล้ว เพราะที่จดทพเบียนสินค้าแบบตรงนั้นเป็นการขายสินค้าผ่านสื่อ ก็คือขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ของบริษัท ไม่ได้มีการขายคอร์สเรียน นอกจากนั้นเขาก็ไม่เคยขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงในธุรกิจเลย

เมื่อถามว่าแบบนี้เข้าข่ายมีความผิดอะไรหรือไม่ นายณัชภัทร บอกว่า จริงๆ ตลาดแบบตรง กฎหมายบอกว่าขออย่างไรก็ทำแบบนั้น แต่ถ้านอกเหนือจากนี้ไปขั้นสูงสุดก็คือเพิกถอนใบอนุญาต ถ้าไม่ทำตามกฎกติกาที่ขอไว้ก็เพิกถอนใบอนุญาติ คือประหารชีวิตทางธุรกิจเลย